วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตราบที่ในใจของเรายังเก็บรักษาความรักที่เคยมีในบ้านหลังนั้นไว้ บ้านก็ไม่ได้จากเราไป พร้อมกับสมาชิกที่หายหน้าหายตา

จากเรื่องเล่าข้างต้นที่เราทั้งสองได้เล่าร่วมกัน ทุกคำพูดยังทำให้ดิฉันคิดอยู่ในใจของดิฉันเสมอว่า"บ้าน" จริงๆมันหมายถึงอะไร ดิฉันก็ได้เกิดข้อสงสัย จนมีอยู่อาทิตย์หนึ่งดิฉันได้กลับบ้าน กลับไปหาพ่อหาแม่  วันนั้นเป็นวันที่มีความสุขมากคะ  เพราะได้เจอทั้งญาติที่เราไม่ค่อยได้เจอกันนาน แต่บังเอิญวันที่ดิฉันกลับบ้านมีญาติมาเยี่ยมมาถามทุกข์สุขกัน ดิฉันดีใจมากคะ ครอบครัวดิฉันก็ได้ทำอาหารกินกันระหว่างทานดิฉันและญาติๆก็คุยกันถามไถ่กัน คนนั้นเป็นยังไง คนนี้เป็นยังไง  และที่ขาดไม่ได้ทุกคนตั้งคำถามถามดิฉัน มาเรียนที่ไหน คณะอะไร  ได้เรียนพยาบาลตามที่ใจหวังมั้ย?  พอถึงตอนนี้ดิฉันไม่อยากที่จะตอบเท่าไรเพราะดิฉันทำความหวังที่ได้รับปากกับครอบครัวและญาติไม่สำเร็จ ดิฉันก็ได้แต่อมยิ้มอยู่สักระยะหนึ่ง แล้วพ่อกับแม่จึงตอบแทนไปว่า  หลานเรียนอยู่ที่  มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  เรียนคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  เอกภาษาไทย ครับ พ่อก็พูดต่อในทำนองเชิงให้กำลังใจว่า ไม่ได้เรียนพยาบาลก็ไม่เป็นไรหรอกครับ  เรียนอันไหนก็เหมือนกันแหละครับมันขึ้นอยู่ที่ตัวเราจะตั้งใจกับสิ่งที่เราเรียนรึเปล่า? พ่อและแม่ต่างก็ตอบญาติไปทั้งยิ้มและหัวเราะ  ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็ยิ้มและก็ได้แต่พูดว่า ใช่จ๊ะ   ญาติดิันรวมทั้งพ่อแม่ก็ต่างพูดบอกให้ดิฉันตั้งใจเรียน อย่าทำให้พ่อแม่และญาติๆเสียใจ เพราะดิฉันก็เป็นหลานคนแรกที่ตั้งใจเรียนหนังสือ ทุกคนที่บ้านก็ได้ตั้งความหวังไว้กับตัวดิฉันไว้มาก  ดิฉันก็ดีใจที่ได้ยินจากปากของทุกคนว่าทุกคน รักและห่วงดิฉันมาก มากกว่าหลานคนอื่นๆ  ดิฉันดีใจและพร้อมด้วยการกดดัน ซึ่งทุกคนหวังในตัวดิฉันหมดแล้วถ้าเกิดมีวััใดวันหนึ่ที่ดิฉันทำให้ท่านผิดหวังล่ะ ทุกคนจะรู้สึกยังไง แต่ดิฉันก็จะพยายามทำตามความหวังของทุกคนที่บ้านให้สำเร็จ   ขณะตอนนั้นดิฉันก็ได้นึกถึงคำว่า "บ้าน" ขึ้นมาทันที ดิฉันเลยเอยปากถามพ่อและญาติๆว่า คำว่า "บ้าน" บ้านเป็นไงคะหนูไม่เข้าใจ แล้วอย่างไรถึงจะเรียกว่าบ้าน? ทุกคนเงียบแต่พ่อกลับพูดขึ้นมาว่าสำหรับพ่อนะพ่อว่า
                       "บ้าน" คือสถานที่ที่มีรัก
 ความสวยของบ้านไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดว่าใหญ่หรือเล็ก แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณความรักที่คนในบ้านมอบให้กัน เราว่าบ้านต้องการคนมาช่วยสร้ง ไม่มีใครสร้างบ้านคนเดียวได้ ไม่ได้สร้างอิฐ ปูน หรือไม้ แต่สร้างด้วยความเข้าใจและความรักระหว่างคนสองคนขึ้นไป
               เช่นกันกับบ้านในแง่ของสถาปัยกรรม สถาปัยกรรมบรรจุหัวใจก็คงทนต่อลมฝนที่เปลี่ยนแปลง ในวันที่ข้างนอกมีพายุร้ายแรง เราก็อบอุ่นใจเมื่อก้วเข้ามาในบ้าน ในวันที่บาดเจ็บเสียน้ำตา ก็กลับมาพักรักษาเยียวยาที่นี่ ในบางเวลาบ้านจึงเป็นเหมือนหลุมภัย โรงพยาบาล รวมถึงสถานศึกษา
             บ้านเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดที่จะสอนเราเรื่องความรัก ท่ไม่ได้หมายความถึงเพียงการ "รับ" จากคนอื่น ต่ยังครอบคลุมไปถึงการหยิบยื่นความรัก "ให้" พวกเรา บ้านสอนให้เรารู้จักรัก ให้รู้ว่ารักคือการแลกเปลี่ยน
             ในบ้านที่มวลของความรักพัดผ่านไหลเวียนถ่ายเทดี สมาชิกในบ้านก็จะสุขภาพดีทั้งกายและใจ
             ถึงแม้ว่าสมาชิกในบ้านไม่สารถอยู่ร่วมบ้านกับเราได้ตลอดกาล แต่ความรักความทรงจำดีๆ และสิ่งที่เราได้เรียนรู่ร่วมกันมานั้นจะไม่มีวันหายไป
             บ้านที่เป็นบ้าน คือบ้านที่มีความรัก ตราบที่ในใจของเรายังเก็บรักษาความรักที่เคยมีในบ้านหลังนั้นไว้ บ้านก็ไม่ได้จากเราไปพร้อมกับสมาชิก ที่หายหน้าหายตามันยังอบอุ่นอยู่ใต้หน้าอกข้างซ้ายของเรา รอเวลาที่เราจะใช้ความรักที่มีนี้ไปเป็นวัสดุก่อสร้างที่ดีในการสร้างบ้านอีกหลัง
             บ้านที่สร้างจากความรัก
ตราบที่ในใจของเรายังเก็ฐณํฏาาความรัก ที่เคยมีในบ้านหลังนั้นไว้ บ้านก็ไม่ได้จากเราไป
พร้อมกับสมาชิกที่หายหน้าหายตา 


วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

  เมื่่อเวลาผ่านไปไม่นานเราทั้งสองก็หลับ  พอถึงวันรุ้งขึ้นเราทั้งสองก็กลับมาย้อยถามกันว่าเราหลับกันไปตอนไหนเมื่อคืนนี้เราสองคนพูดถึงไหนกัน เราสองคนต่างก็ย้อนถามกันไปมา ดิฉันที่เล่าทั้งหมดห้เพื่อนฟังเพื่อนก็เงียบไปหาย แล้วก็มาพูดว่า     
 "ถามความหมายของคำว่า บ้าน เป็นอย่างที่เธอคิด  เราก็เคยมีบ้านที่เป้นบ้านนะ แต่เวลาเปลี่ยน อะไรเปลี่ยน บ้านที่เป็นบ้านก็หายไป 

           หายไปเพราะ...มีคนบางคนที่เรารักได้หายไปจากตรงนั้นตลอดกาล

           หายไปเพราะ...เราไม่ได้รู้สึกปลอดภัยอีกแล้วเมื่อเรากลับไปที่แห่งนั้น 
           หายไปเพราะ...เรายิ่งรู้สึกเจ็บปวดเมื่อไปในที่แห่งนั้น "


 จากที่ได้ฟังเพื่อนระบาย  เราต่างคนต่างมีน้ำตาที่ไหลออกมา  แต่ดิฉันก็ยังเชื่อว่าวันหนึ่งเพื่อนจะมีสถานที่ที่ทำให้เพื่อนของดิฉันสามารถเรียกว่า "บ้านที่เป็นบ้าน" ได้อีกครั้ง

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บ้านที่ที่เราอยู่แล้วสบายใจ มีคนที่เรารักและรักเราอยู่ในแห่งนั้น เป็นที่ที่รู้สึกปลอดภัยและไม่ว่าเราจะเจ็บปวดจากโลกภายนอกขนาดไหน เมื่อเรากลับไปที่แห่งนั้นก็จะทำให้เราหายเจ็บ

เริ่มแรกที่ดิฉันได้ย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักกับเพื่อน โดยปกติกลับมาจากการทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยแล้วดิฉันปกติก็จะโทรหาคุณแม่ก่อนเข้านอนทุกครั้ง แต่คืนนั้นดึกมากแล้วเลยไม่โทรหาคุณแม่กลัวท่านจะนอนหลับไปแล้ว ดิัฉันก็เลยอาบน้ำเตรียมพร้อมที่จะสวดมนต์ก่อนนอนทุกครั้ง แต่คืนนี้เพื่อนและดิฉันเหนื่อย!แต่บังเอิญว่ายังไม่อยากหลับเพื่อนและดิฉันเลยจึงนอนคุยกันไปเรื่อยๆเดี๊ยวก็เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้างตามประสาผู้หญิง พอเราโตขึ้น หัวข้อการคุยของเราก็เปลี่ยนไปจากตอนเป็นเด็กเยอะเลยคะ เรื่องที่คุยก็ไม่พ้นเรื่องการเรียน อนาคต และครอบครัว ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคนเวียนวนอยู่ในหัวเลย เราก็นอนคุยกันไป แล้วอยู่ๆก็คุยกันเรื่องบ้าน 
          ตอนแรกดิฉันก็บอกเพื่อนว่า อยากมีบ้านสวยๆเนอะ เพื่อนก็บอกว่าใช่ๆ ใครๆก็อยากมีบ้านสวยๆกันทั้งนั้นแหละ ดิฉันนอนคิดอยู่สักพัก จึงพูดกับเพื่อนใหม่ว่า "ที่จริงแล้วอยากได้บ้านที่เป็นบ้านมากกว่า" หลังจากประโยคนั้นลอยมาออกจากปาก ทั้งดิฉันและเพื่อนก็นอนเงียบๆ ต่างคนต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ดิฉันไม่รู้ว่าเพื่อนคิดอะไรอยู่ แต่ดิฉันกำลังคิดถึงคำว่า "บ้านที่เป็นบ้าน"
           ต่อให้บ้านสวยเพียงใด แต่ถ้ามันไม่เป็นบ้าน ก็คงไม่อาจทำให้เราเป็นสุขได้ บ้านในความคิดของดิฉัน ก็คงเป็นบ้านที่ที่เราอยู่แล้วสบายใจ มีคนที่เรารักและรักเราอยู่ในแห่งนั้น เป็นที่ที่รู้สึกปลอดภัยและไม่ว่าเราจะเจ็บปวดจากโลกภายนอกขนาดไหน เมื่อเรากลับไปที่แห่งนั้นก็จะทำให้เราหายเจ็บ นี่เป็นคำนิยามของบ้านสำหรับดิฉัน สำหรับท่านผู้อ่านแหละค่ะ ก็คงจะคิดต่างกันไปนะค่ะ