วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

10 วิธีสร้าง "บ้านสุข" ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี


10 วิธีสร้าง "บ้านสุข" ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี 




       การที่พ่อแม่ทุกคนหวังไว้ว่า อยากให้ครอบครัวเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ลูกได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่อย่างที่เขาตั้งใจไว้ แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วความหวังกับความเป็นจริงอาจสวนทางกันเนื่องด้วยภาระที่ต้องรับผิดชอบทั้งหน้าที่การงานและหน้าที่พ่อแม่
      
       ทั้งนี้ การที่พ่อแม่จะสร้างครอบครัวให้อบอุ่นดังหวังนั้น เปรียบเสมือนของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับลูกเลยก็ว่าได้ เพราะหากพวกเขาอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น มีแต่ความรัก ความเข้าใจ เมื่อลูกโตขึ้น เขาก็จะมีแต่ความทรงจำที่ดีและมีแบบแผนปฏิบัติต่อไป
      
       ดังนั้นหากครอบครัวในวันนี้ยังมีความสุขไม่มากพอลองมาดูเคล็ดลับดีๆที่สามารถเพิ่มมวลความสุขให้ครอบครัวได้ง่ายๆ 10 วิธีดังนี้
      
       1. "หัวเราะ" ไปด้วยกัน
      
       เสียงหัวเราะคือวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้ทุกคนในครอบครัวได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ดังนั้นการที่ใครสักคนแบ่งปันเรื่องราวสนุกสนานน่าขำมาให้คนในบ้านได้หัวเราะไปพร้อมกัน หรือการนั่งดูรายการตลกในช่วงเวลาว่างด้วยกันทั้งครอบครัวก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
      
       2. "ขอบคุณ"กันและกัน
      
       หลายครั้งที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คนในครอบครัวอาจหลงลืมช่วงเวลาดีๆไปบ้าง ดังนั้นการที่เราไม่ลืมคำว่า "ขอบคุณ"และ"ขอโทษ" ก็ทำให้ความรู้สึกดีๆยังคงอยู่ต่อไป อย่าลืมว่า ความสุขของทุกคนในครอบครัวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทุกคนเข้าใจกัน
      
       ดังนั้นนับเป็นโอกาสที่ดีหากพ่อแม่สอนลูก พี่สอนน้อง น้องมีน้ำใจต่อพี่ๆ ก็ควรใช้เวลาตรงนั้นกล่าวคำว่า "ขอบคุณ" ไปบ้าง เพราะมันไม่ใช่เรื่องน่าอับอายอะไรเลย
      
       3. "แบ่งปัน"ความสุขให้ลูกบ้าง
      
       ของขวัญจากพ่อแม่ที่วิเศษอีกอย่างหนึ่งคือการที่ทั้งสองแบ่งปันความรักให้ลูกได้เรียนรู้ว่า พ่อกับแม่รักกันมากแค่ไหน ขณะเดียวกันก็ควรสอนให้ลูกรู้จักรักแท้ที่พ่อมีให้แม่ ซึ่งการพูดให้ลูกรู้คงไม่สำคัญเท่ากับการแสดงออกให้ลูกเห็น และถ้าลูกรับรู้ได้ว่า พ่อกับแม่รักกันแค่ไหน พวกเขาก็จะมีความสุขและมองความรักในแง่ดีอีกด้วย
 
 
       4. "สุข" อย่างพอเพียง      
       บางครั้งปัญหาทางด้านการงานของแต่ละครอบครัว ก็เป็นตัวการสำคัญที่บั่นทอนความสุขได้มากทีเดียว ทั้งๆที่หลายคนอาจเถียงว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินและงานมากกว่าลูก แต่ ณ เวลานั้น หัวหน้าครอบครัวหลายคนอาจมองไม่เห็นตัวเอง จนทำให้สาเหตุของปัญหาด้านการเงินและความไม่รู้จักพอเป็นบ่อเกิดของปัญหาซึ่งพาลหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับลูก-เมียได้ง่ายมาก
      
       ทั้งนี้ ถ้าใครไม่อยากให้เงินมาเป็นตัวบ่อนทำลายความสุขของครอบครัว ก็ควรจัดระเบียบความคิดและเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า แค่ไม่เป็นหนี้ ไม่อยากมีอยากได้จนเกินตัว ครอบครัวก็สุขสมบูรณ์ได้ด้วยความพอเพียง อย่าไปดิ้นรนเพื่อวัตถุนอกกายเพียงแค่ให้เป็นหน้าเป็นตา ในขณะที่ครอบครัวกำลังจะพังอีกเลย
      
       5. "มารยาท" เพิ่มสุข
      
       บทบาทของพ่อแม่ที่สำคัญคือการสอนและดูแลเอาใจใส่ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เด็กส่วนใหญ่มักพลาดกันก็คือเรื่องมารยาท ดังนั้นหากพ่อแม่สอนให้ลูกรู้จักมารยาทโดยวิธีการที่ไม่ใช่การต่อว่าลูก ลูกก็จะรู้จักปรับปรุงและน้อมรับในสิ่งที่พ่อแม่สอน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าการที่พ่อแม่สอนลูก แล้วลูกนำไปปฏิบัตินั้น ก็คือความสุขที่พ่อแม่จะได้กลับมา ขณะที่ลูกๆเอง ถ้าเขามีมารยาทนอกจากคนในครอบครัวแล้ว สำหรับคนในสังคมเอง พวกเขาก็จะมีความสุขเพราะลูกของเราเช่นกัน
      
       6. "ปรับ"บ้านให้มีกฎ
      
       หลายครั้งที่พี่น้องอาจทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างการเล่นในบ้านหรือการพูดจายุแหย่ตามประสาเด็ก ซึ่งทำให้พ่อแม่หลายคนปวดหัวไปตามๆกัน
       ดังนั้นวิธีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ พ่อแม่ควรตั้งกฎระเบียบให้ลูกๆและเพื่อนๆที่จะมาเล่นในบ้านปฏิบัติตามกันอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งยังได้ฝึกระเบียบวินัยเด็กๆอีกด้วย
      
       
7. "เชื่อมั่น" กันและกัน      
       เด็กๆอาจมีความเชื่อมั่นในตัวเองค่อนข้างสูงกว่าผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็ควรใหอิสระกับลูกในการตัดสินใจและเชื่อมั่นในตัวลูก แต่อิสระในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะอะไรก็ได้ไร้ขอบเขต ความเชื่อมั่นในที่นี้หมายถึงพ่อแม่ควรให้ลูกตัดสินใจเลือกในสิ่งที่พวกเขาอยากทำโดยอยู่ในสายตาของพ่อและแม่เพื่อให้เขาเรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านประสบการณ์ด้วยตนเอง ไม่ใช่บังคับลูกเสียทุกอย่าง เพราะหากเป็นเช่นนั้น นอกจากจะไม่มีความสุขแล้ว ครอบครัวอาจแตกแยกได้อีกด้วย


       8. "ชื่นชม" มากกว่าติเตียน
      
       การชื่นชมในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ต่อให้ลูกทำผิดก็บอกว่าไม่ผิด เข้าข้างลูกอย่างไม่มีเหตุผล แต่การชื่นชมที่พ่อแม่ควรทำคือการที่ประสบความสำเร็จหรือสามารถทำอะไรบางอย่างที่น่ายินดี พ่อแม่ก็ควรให้กำลังใจลูก แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม เพราะในที่สุดแล้ว เมื่อลูกได้รับกำลังใจจากพ่อแม่ เขาก็จะมีความสุข และเมื่อลูกมีความสุข พ่อแม่ก็จะพลอยสุขไปด้วย
      
       9. ลด "กังวล"
      
       คำนึงอยู่เสมอว่า ไม่ว่าจะเจอปัญหาหนักหนาแค่ไหน แต่คนในครอบครัวก็ยังคงเป็นกำลังใจและรออยู่ที่บ้านเสมอ ดังนั้นหากพ่อแม่เครียดจากการทำงาน ก็ไม่ควรเอาปัญหาไปที่บ้านด้วยเพราะจะทำให้บรรยากาศเสียเข้าไปใหญ่ ลองนึกดูว่า ถ้าลูกๆกำลังรอพ่อแม่กลับบ้านเพื่อนั่งทานข้าวเย็นพร้อมกัน แต่กลับต้องพบว่า พ่อหงุดหงิด เรื่องงาน แม่ก็มีปัญหาที่ไม่ได้ต่างกัน เด็กๆที่รอที่บ้านคงเสียใจและหงุดหงิดตามกันเป็นแน่
      
       ดังนั้น หากมีปัญหาอะไรก็ควรแยกแยะเวลางานและเวลาครอบครัวเท่าที่จะทำได้ ถ้าสิ่งไหนที่สามารถบอกเล่าและปรึกษากันและกันได้ก็ไม่ควรเก็บปัญหานั้นไว้คนเดียว เพราะทุกคนในครอบครัวไม่มีใครทิ้งใครได้แน่นอน ความกังวลจะลดลงได้ถ้ามีใครสักคนรับฟัง
      
       10. "ช่วยเหลือ" กันและกัน
      
       สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากที่กล่าวมานั้น การอยู่ร่วมกันเป็นทีมที่มีความสามัคคีกัน นับเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ดังนั้นการที่ครอบครัวพร้อมใจช่วยเหลือกันและกันเปรียบเสมือนเป็นทีมเดียวกัน แน่นอนว่าไม่ว่าจะเจออุปสรรคแบบใด ครอบครัวที่แข็งแรงแบบนี้ก้จะสามารถฝ่าฟันไปได้ด้วยดี และในที่สุด อุปสรรคต่างๆก็ไม่สามารถทำลายมวลความสุขของทุกคนในครอบครัวลงไปได้แม้แต่น้อย
      
       เคล็ดลับทั้ง 10 ข้อนี้ หลายคนอาจบอกว่าพูดง่าย คิดง่าย แต่ทำยาก ซึ่งหากลองเปลี่ยนทัศนคติว่า ทำยากแต่ก็ทำได้ เชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นกี่เคล็ดลับ ถ้าทุกคนอยากทำให้ครอบครัวมีสุข ก็สามารถทำได้โดยปราศจากข้ออ้างใดๆแน่นอน เพียงแค่ให้ทุกคนในบ้านร่วมมือกัน
     

บรรยากาศดีครอบครัวมีสุข

บรรยากาศดีครอบครัวมีสุข

ครอบครัวอบอุ่น มีบรรยากาศในการอยู่ร่วมกันดี มีการถ้อยที ถ้อยอาศัย ไม่เครียด เป็นลักษณะของครอบครัวในฝันที่ทุกคนปรารถนา ไม่เครียดเมื่ออยู่ร่วมกัน ทุกคนสามารถปรับตัวปรับใจให้ใกล้เคียงกัน เมื่อมีงานก็จะช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่เกี่ยงงอน หาโอกาสสร้างความสนุกสนานรื่นเริงในครอบครัวบ้าง

บรรยากาศเช่นนี้ทุกครอบครัวต่างต้องการและปรารถนา การสร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัวนั้นมีแนวทางดังนี้

1.ต้องปรับตัวให้เข้ากับทุกคนในครอบครัว พื้นฐานของคู่สมรสมาจากต่างครอบครัว ย่อมจะมีลักษณะนิสัย ค่านิยม ความคิดเห็นแตกต่างกัน เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นครอบครัวต้องปรับตัวปรับใจให้สอดคล้องกับสมาชิกในครอบครัว ทั้งคู่สมรส ญาติ พี่น้อง ต้องทำความเข้าใจกับสภาพของชีวิตสมรส จะทำตัวเหมือนกับตอนเป็นโสดไม่ได้ ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ทำสิ่งใดให้เป็นไปในลักษณะของการพบกันครึ่งทาง ต้องตระหนักว่าคนเราย่อมแตกต่างกันในความรู้สึก นิสัย ใจคอ และอาชีพการงาน จึงต้องทำความเข้าใจ ปรับความรู้สึกให้สอดคล้องกัน

2.สร้างแนวทางการทำงานร่วมให้เหมาะสม สมาชิกในครอบครัวต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบ แต่บทบาทที่รับผิดชอบย่อมแตกต่างกัน เช่น หน้าที่ของพ่อย่อมแตกต่างจากหน้าที่ของแม่ ทุกคนต้องปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ ในส่วนปลีกย่อยของการงานในครอบครัวที่ต้องทำร่วมกัน อาจจะต้องหาแนวทางที่เหมาะสมด้วยวิธีการดังนี้

2.1 ร่างข้อตกลงหรือเงื่อนไขในการทำงานร่วมกันตามความถนัด ความชอบ ให้สอดคล้องกับลักษณะนิสัยและความสามารถของแต่ละคน

2.2 ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงตามที่ตกลงกันไว้ด้วยความเต็มใจ

2.3 มีการประเมินการทำงานร่วมกันเป็นระยะเพื่อปรับปรุง

2.4 ร่วมกันคิดหาแนวทางในการพัฒนางานให้เจริญก้าวหน้า

3.มีการจัดกิจกรรมนันทนาการในครอบครัว กิจกรรมนันทนาการจะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวได้พักผ่อน คลายเครียด ช่วยให้ความสัมพันธ์และบรรยากาศในครอบครัวดีขึ้น จึงควรจัดกิจกรรมนันทนาการในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเล่นกีฬา จัดสวนดอกไม้ รดน้ำต้นไม้ เดินทางไปพักผ่อนนอกสถานที่ตามโอกาสและตามความเหมาะสม เป็นต้น

4.จัดกิจกรรมตามวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความผูกพันในครอบครัว วัฒนธรรม ประเพณีไทยบางอย่างส่งเสริมความรัก ความสามัคคี ความผูกพันกลมเกลียวกันในครอบครัว เช่น ประเพณีสงกรานต์ทางภาคเหนือ มีการรดน้ำดำหัว พ่อแม่ ปู่ยา ตายาย หรือกิจกรรมพิธีการต่างๆ ทางศาสนาที่จะสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว และกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีความเมตตา อ่อนน้อมก็ควรจะปฏิบัติให้สม่ำเสมอ จะช่วยให้บรรยากาศในครอบครัวดีขึ้น

การสร้างความสุขในชีวิตสมรส ชีวิตการครองเรือนให้เป็นครอบครัวอบอุ่น การเรียนรู้ศิลปะการครองคู่ สร้างความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นในครอบครัว สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคู่สมรสและสมาชิกในครอบครัว สร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัว จะช่วยให้ครอบครัวเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ครอบครัวมีความสุขได้.....

ครอบครัวมีสุข สุดโรแมนติก


ครอบครัวมีสุข สุดโรแมนติก



คู่รักที่มีบุตรแล้ว และแยกออกมาอยู่กันต่างหาก (ไม่ได้อยู่รวมกับคุณพ่อคุณแม่) ในวันหยุดสุดสัปดาห์ แทนที่จะไปเที่ยวกันเอง พ่อแม่ลูก ลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูค่ะ


บอกลูกๆ ของคุณว่า ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ พวกคุณจะกลับไปหาคุณปู่ ย่า หรือ คุณตา ยาย กัน ลูกๆ ของคุณนั้น หากได้ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ เขาจะมีจิตใจที่ดีค่ะ ไม่หยาบกระด้าง ระหว่างที่คุณพาลูกๆ กลับไป หาคุณพ่อ คุณแม่ของพวกคุณเองนั้น ก็เป็นการเยี่ยมเยียนท่านด้วย ไม่ให้ท่านเหงา และเป็นการปลูกฝังค่านิยมให้ลูกๆ ของคุณได้ซึมซับไปด้วยว่า การกลับมาหาพ่อแม่ เป็นเรื่องที่ดี และพ่อแม่ของพวกคุณเอง เวลาเห็นหลานๆ มาหา เชื่อได้เลยว่า จิตใจของแกก็สำหรับจะอิ่มเอม และที่สำคัญ คุณและแฟนของคุณก็ได้ใช้เวลาวันหยุดอันมีค่าไปกับครอบครัว ทั้งพ่อแม่ คุณเองและลูกๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวค่ะ แบบนี้ครอบครัวอบอุ่นแน่ๆ

สร้างครอบครัวอบอุ่น...สร้างภูมิคุ้มกันให้ครอบครัว


สร้างครอบครัวอบอุ่น...สร้างภูมิคุ้มกันให้ครอบครัว

เนื่องในเดือนแห่งการรณรงค์ลดความรุนแรง
แก่บุคคลในครอบครัว ในฐานะที่เป็นจิตแพทย์ 
ใคร่ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านได้หันมาให้ความสำคัญ
กับคนในครอบครัว 
เพื่อหลีกห่างจากความรุนแรงในครอบครัว 
และทำการสร้างภูมิคุ้มกันแก่สมาชิกในครอบครัว 
โดยแนวทางนี้จะก่อให้เกิดครอบครัวอบอุ่น

ครอบครัวอบอุ่น คือครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ การ มีครอบครัวที่อบอุ่นทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข คนที่มีครอบครัวอบอุ่นย่อมมีความได้เปรียบ เพราะสามารถ ทำหน้าที่ได้เหมาะสม และทำให้สมาชิกในครอบครัวมีสุขภาพจิตดีไปด้วย

นิยาม "ครอบครัวที่อบอุ่น"
๑. มีขอบเขตที่เหมาะสม ทั้งขอบเขตส่วนบุคคล และคนในครอบครัว
๒. มีความผูกพันทางอารมณ์ที่เหมาะสม ไม่ห่างเกิน ไป และไม่ใกล้ชิดกันเกินไป สมาชิกในครอบครัวมีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ยังคงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในครอบครัวได้
๓. มีการจัดลำดับอำนาจ และความเป็นผู้นำที่ชัดเจน
๔. สมาชิกมีบทบาทหน้าที่ชัดเจน และปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสอดคล้องกัน
๕. โครงสร้างและการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวมีความยืดหยุ่นดีและเหมาะสม
๖. สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๗. มีการจัดระบบภายในครอบครัวอย่างมีประสิทธิ-ภาพ
๘. มีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
๙. มีเครือข่ายทางสังคมที่ดี และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว
๑๐. สมาชิกในครอบครัวใช้เวลาอยู่ร่วมกันตามสมควร

ความผูกพัน : ตัวแปรความอบอุ่นในครอบครัว
ครอบครัวจะมีแรงผลักดันอยู่ ๒ แรงที่ต่อสู้กันอยู่เสมอคือ แรงที่ดึงสมาชิกให้เข้าหากัน เป็นอันหนึ่งอันเดียว กัน ทั้งความคิด ความรู้สึก การกระทำ และแรงผลักดันที่ทำให้สมาชิกอยู่ห่างออกจากกัน เพื่อใช้ชีวิตอย่างอิสระและเป็นตัวของตัวเอง
แรงผลักดันทั้ง ๒ จะสมดุลกันในครอบครัวที่อบอุ่น แม้บางครั้งแรงผลักดันแบบหนึ่งอาจมากกว่าอีกแบบหนึ่ง แต่ก็จะเป็นอยู่ชั่วคราว และจะกลับคืนสู่สภาวะสมดุลในที่สุด โดยความผูกพันทางอารมณ์แบ่งได้เป็น ๒ ลักษณะคือ

ครอบครัวที่ผูกพันแน่นแฟ้นเกินไป 
เกิดขึ้นจากการที่สมาชิกในครอบครัวทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากที่เคยทำมา ก็จะเกิดความเครียดขึ้นมาในครอบ-ครัวทันที ความเครียดนี้อาจกระทบถึงความสัมพันธ์ และการปฏิบัติหน้าที่ด้านอื่นๆ ของครอบครัว เช่น ลูกทำใน สิ่งที่พ่อแม่ไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วย และให้ลูกตัดสินใจว่า จะทำตามใจตัวเอง หรือยอมทำตามที่พ่อแม่ต้องการ
ผลของความผูกพันที่มากเกินไปนั้น จะทำให้สมาชิกในครอบครัวไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ เช่น แม่ที่ผูกพันแน่นแฟ้นกับลูกมากเกินไป อาจทำให้พ่อห่างเหินไปโดยอัตโนมัติ โดยเด็กจะพึ่งแม่ไปโดยอัตโนมัติและไม่รู้จักโต

ครอบครัวที่เหินห่างทางอารมณ์
สำหรับครอบครัวที่ผูกพันระหว่างกันน้อย แม้สมาชิก ในครอบครัวจะมีอิสระมาก ก็จะเป็นความอิสระที่ไม่สมบูรณ์ เพราะขาดความรู้สึกเป็นส่วนตัวและความรู้สึกที่พึ่งพิงกันในยามจำเป็น นอกจากนี้ การที่ต่างคนต่างอยู่จะทำให้ไม่สามารถร่วมทำภารกิจที่สำคัญให้สำเร็จได้ เช่น ครอบครัวที่พ่อกับแม่ไม่มีความผูกพันใกล้ชิดกัน ย่อมไม่สามารถร่วมมือกันปกครองลูกได้
ความผูกพันทางอารมณ์ที่เหมาะสมที่สุดคือ ความผูกพันระดับกลาง เพราะคนในครอบครัวจะมีความเป็น อิสระ แต่ยังคงความผูกพันกับครอบครัวเดิมอยู่ ทั้งนี้ การจะมีครอบครัวที่อบอุ่นได้นั้น ครอบครัวจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างความเป็นอิสระและความผูกพันกับครอบครัว ได้อย่างเหมาะสม

ผู้นำในครอบครัว : บทบาทผู้สร้างความอบอุ่นในครอบครัว
ทุกครอบครัวต่างก็มีผู้นำในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่ความเป็นผู้นำไม่ควรถูกจำกัดให้อยู่กับ คนใดคนหนึ่ง เช่น พ่อแม่ไม่ควรเป็นผู้นำคนเดียว หรือ แม่ไม่ควรเป็นผู้นำคนเดียว เพราะหากครอบครัวต้องตกอยู่ในภาวะความตึงเครียด ผู้เป็นพ่อและแม่ต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และร่วมกันเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
จากการศึกษาครอบครัวของวัยรุ่นในประเทศแคนาดา พบว่า วัยรุ่นในครอบครัวที่พ่อเป็นผู้นำในแบบประชาธิป- ไตย จะมีความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่พ่อหรือแม่มีอำนาจเพียงคนเดียว
ดังนั้น หากต้องการมีครอบครัวที่อบอุ่น สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวจะต้องมีบทบาทความเป็นผู้นำในวาระที่แตกต่างกันออกไป เช่น แม่จะเป็นผู้นำและเป็น ผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลครอบครัวและการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องอาหารการกินในบ้าน ส่วนพ่อจะเป็นผู้นำในเรื่องที่สำคัญ เช่น เรื่องภายนอกบ้าน และสมาชิก ในบ้านควรมีส่วนในการสนับสนุนความคิดของผู้นำในครอบครัว
เมื่อใดก็ตามที่เกิดปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว คนในครอบครัวจะต้องช่วยกันแก้ไขความขัดแย้งให้กลับคืน สู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด โดยสามารถแก้ไขความขัดแย้ง ได้ ๓ วิธีคือ
๑. การร่วมมือกัน โดยคนในครอบครัวต้องหันหน้าเข้าหากัน และพูดคุยถึงปัญหาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อหาข้อยุติที่เหมาะสม
๒. การยอมเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งยอมลงให้อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อเป็นการยุติความขัดแย้ง หรือเพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามออกไป
๓. การพยายามเอาชนะ เป็นการช่วงชิงอำนาจว่าใครจะเป็นใหญ่ ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ซึ่งไม่ทำให้ปัญหายุติได้ แต่จะทำให้สถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น เพราะการแก้ไขปัญหาด้วยการเอาชนะกันนั้นไม่ใช่วิธีการที่ได้ผล ยิ่งถ้ามีการดึงบุคคลที่ ๓ เข้ามาก็จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาเป็นลูกโซ่

เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในครอบครัว เรามักจะดึงเอาบุคคลที่ ๓ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ความขัดแย้งโยงใยในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
๑. การทำให้เป็นแพะรับบาป เป็นความขัดแย้งที่เกิด จากบุคคล ๒ คน แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมา กลับเป็นการโยนบาปให้บุคคลที่ ๓ แทน เช่น พ่อกับแม่ ทะเลาะกัน แต่โยนความผิดให้ลูก ทำให้ดูเหมือนพ่อแม่ไม่มีปัญหากัน แต่แท้ที่จริงปัญหาความขัดแย้งยังคงอยู่
๒. การเข้าพวกกันแบบข้ามรุ่น เป็นวิธีที่พ่อหรือแม่ดึงลูกเข้ามาเป็นพวก เพื่อที่จะต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง โดยจะเลี้ยงลูกแบบตามใจ เพื่อให้ลูกมาเป็นพวกของตน ทำให้มีการสลับบทบาทหน้าที่กัน โดยแทนที่พ่อแม่จะมาดูแลลูก กลับเป็นลูกทำหน้าที่ดูแลพ่อแม่เสียเอง
๓. การร่วมมือกันเพื่อเอาใจใส่ลูก เป็นวิธีที่พ่อและแม่ต่างก็ร่วมมือให้ความสนใจ เพื่อแก้ไขปัญหาของลูก ทำ ให้ลืมปัญหาระหว่างกันไปชั่วขณะ โดยจะมองว่าลูกเป็น คนอ่อนแอ หรือเป็นเด็กไม่ดีที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด
๔. การแข่งขันระหว่างพ่อและแม่ โดยพ่อแม่ต่างก็ดึงลูกเข้ามาเป็นพวกของตน ทำให้ลูกเกิดความสับสนว่า จะเป็นพวกของพ่อดี หรือพวกของแม่ดี ไม่รู้ว่าจะจงรักภักดีกับใครดี
ครอบครัวที่พ่อแม่แก้ไขความขัดแย้งในลักษณะ ดังกล่าว จะทำให้เกิดผลเสียดังนี้
๑. การดึงเอาบุคคลที่ ๓ เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจทำให้ความรู้สึกของพ่อแม่ดีขึ้นบ้าง เพราะไม่ต้องแก้ไขปัญหา เอง แต่ก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขความขัดแย้งที่ถูกต้องและเหมาะสม
๒. พ่อแม่จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จะทำให้พ่อแม่ มีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง เพราะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากลูกมากเกินไป
๓. พัฒนาการของเด็กไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะแทนที่พ่อแม่จะเป็นคนดูแลเอาใจใส่ลูก กลับเป็นฝ่ายลูกต้องมาดูแลเอาใจใส่พ่อแม่แทน เด็กที่ถูกดึงเข้าไปโยงใยกับปัญหาจะทำให้ไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ดีพอ และไม่สามารถแยกตัวเองออกจากครอบครัวได้เมื่อถึงเวลา
๔. สูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อหรือแม่ เช่น แม่ที่เข้าพวกกับลูกสาวและกีดกันพ่อ จะทำให้ลูกสาวห่างเหินพ่อ และทำให้มีผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ของ เด็ก
หนทางที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวคือ การสื่อสาร เพราะการสื่อสารทำให้ครอบครัวมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่การสื่อสารที่ดีย่อมต้องอาศัยทักษะและความสามารถที่ดี เช่น การเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย การฟังผู้อื่น การพูดจาประคับประคองอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว 
ในทางกลับกัน การพูดจาตำหนิติเตียน หรือทำให้เกิดความรู้สึกในเชิงลบ จะยิ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกโกรธ เสียใจ ตึงเครียด ขัดแย้ง และนำมาซึ่งความรุนแรงในครอบครัวทั้งในด้านท่าที วาจา และการกระทำที่รุนแรงกับบุคคลอื่นในที่สุด

มุมมองนักจิตวิทยา
นักจิตวิทยาและจิตแพทย์เชื่อว่า ผู้ที่กระทำการรุนแรงส่วนใหญ่ มักมีพื้นฐานมาจากการที่อยู่ในครอบครัวแตกแยก มาจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่น และมาจากการที่ตนเคยตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงมาก่อน หรืออยู่ในเหตุการณ์ที่รู้เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้น 
โครงสร้างทางสังคมมีผลกระทบต่อคนและพฤติกรรม ของคนในสังคม เช่น สังคมที่มีค่านิยมยกย่องพ่อเป็นใหญ่ เป็นสังคมที่กำหนดและควบคุมกฎเกณฑ์โดยเพศชาย เช่น สังคมชาวเอเชียจะสร้างสมาชิก ผู้ชายŽ ที่แสดงบทบาททางเพศเชิงอำนาจนิยม ในขณะเดียวกันจะสร้าง ผู้หญิงŽ ให้เป็นฝ่ายเก็บกดและยอมตามมากกว่าสังคม ที่ถือว่าแม่เป็นใหญ่ และสังคมที่ถือว่าพ่อแม่เป็นใหญ่ เท่าเทียมกัน
นักจิตวิทยามองปัญหาความรุนแรงในครอบครัวว่า เป็นปัญหาที่ผู้กระทำการรุนแรงมีลักษณะบุคลิกภาพที่ผิดปกติเฉพาะบุคคล โดยให้เหตุผลว่า ผู้เป็นสามีในครอบครัวอื่นที่อยู่ภายใต้โครงสร้างสังคมในระดับชนชั้นเดียวกัน ได้รับการขัดเกลาจากวัฒนธรรมทางสังคมแบบเดียวกัน มิใช่จะกระทำรุนแรงต่อภรรยาเช่นเดียวกันทุกครอบครัว มีเพียงส่วนน้อยที่กระทำพฤติกรรมเช่นนี้

การสร้างความรักและความอบอุ่นในครอบครัวจะเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันให้ครอบครัวหลีกหนีและห่างไกลจากความรุนแรง และจะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมในที่สุด

ครอบครัว อบอุ่น ด้วยรัก....

ครอบครัว อบอุ่น ด้วยรัก
ครอบครัว สดใส เปี่ยมความหวัง
ครอบครัว เปี่ยมสุข งดงาม

น้องสาวคนหนึ่ง เกิดมาในครอบครัวที่พ่อจากไปตั้งแต่แม่ยังสาว และน้องๆ ของเธอยังเยาว์วัย

เป็นการจากไปอย่างกะทันหัน มิได้มีการเตรียมการ

ไม่ว่าจะเป็นในด้านของแม่ซึ่งเป็นภริยา ไม่ว่าจะเป็นในด้านของลูกๆ ซึ่งล้วนได้รับความอบอุ่นจากพ่อเป็นอย่างดี

ในเบื้องแรก ทุกคนจึงเกิดความเคว้งคว้างไม่แน่ใจ

แต่ภายในเวลาอันรวดเร็ว แม่ซึ่งเป็นคนทำงานหนักมาโดยตลอด ก็ปรับตัวได้ เป็นการปรับตัวโดยการดำรงสถานะ ที่ควบทั้งความเป็นแม่ และความเป็นพ่อไปด้วยในขณะเดียวกัน

น่ายินดีที่ลูกทุกคนสมองดี ขยันขันแข็งและเรียนเก่ง

ในฐานะลูกสาวคนโต เธอกับแม่จึงมีความเข้าใจกันอย่างเป็นเอกภาพ เข้าใจในความเสียสละของแม่ เข้าใจว่าตนเองต้องเสียสละเพื่อน้องอีกหลายคน

เข้าใจและตระหนักว่า ตนเองจะต้องเป็นเหมือนแม่คนที่ 2 ของน้องๆ

ความเข้าใจนี้ในเบื้องต้น เป็นเรื่องดี แต่ในท่ามกลางการเติบใหญ่ของเธอ และการร่วงโรยลงเป็นลำดับของแม่ ก็เกิดความแปรเปลี่ยนในทางความคิด กระทั่งกลายเป็นความขัดแย้ง

เป็นความขัดแย้งในลักษณะที่ช่วงชิงการนำภายในบ้าน

น่ายินดีที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นความขัดแย้งในหมู่พวกเดียวกัน เป็นความขัดแย้งที่ไม่มีลักษณะปรปักษ์ เป็นความขัดแย้งที่สามารถประนีประนอมกันได้

ทุกครั้งที่มีความขัดแย้งระหว่างน้องสาวคนนั้น ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตกับแม่เกิดขึ้น เพื่อนคนหนึ่งมักเสนอแนะให้เธอกลับไปง้อขอคืนดีกับแม่

คำพูดที่ติดปากก็คือ "โชคดีนะที่เธอยังมีแม่อยู่"

ที่พูดเช่นนี้ เพราะว่าเพื่อนคนนั้นเป็นกำพร้า แม่ของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว พ่อของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว

เพื่อนคนนั้น มีชีวิตอยู่อย่างแตกต่างไปจากน้องสาวคนนั้น เป็นอย่างมาก

มองจากพื้นฐานของเพื่อนคนนั้น การดำรงอยู่ของน้องสาวคนนั้น ย่อมอบอุ่นกว่า เพราะน้องสาวคนนั้นยังมีแม่อยู่

มีแม่อยู่อันเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร

อย่างน้อยเมื่อประสบปัญหาในชีวิต ไม่ว่าปัญหาในเรื่องส่วนตัว ในเรื่องการทำงาน ก็ยังมีแม่อยู่ที่บ้าน

แม่ที่พร้อมจะเปิดใจรับฟังปัญหาของลูก

แม่ที่พร้อมจะอ้าแขนโอบกอดให้ความอบอุ่น แม่ที่พร้อมจะเอ่ยปากให้กำลังใจลูก ให้ยืนหยัดต่อสู้ต่อไป

นี่ย่อมต่างไปจากคนที่เมื่อกลับบ้าน ไม่มีทั้งพ่อและแม่รออยู่

มีความว้าเหว่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อกลับไปถึงบ้าน แล้วไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่รออยู่

รออยู่และคอยถามว่า "เหนื่อยไหมลูก" รออยู่และคอยถามว่า "กินข้าวมาแล้วหรือยังลูก" รออยู่และเฝ้ามองด้วยความห่วงหาอาทร

คนที่มีพ่อมีแม่รออยู่ ย่อมไม่เข้าใจในสิ่งที่ขาดหายไป กระทั่งมองเห็นว่าไร้ค่า

ต่อเมื่อไม่มีทั้งพ่อ ต่อเมื่อไม่มีทั้งแม่ รออยู่ที่บ้านอีกนั่นแหละ จึงจะตระหนักในสภาพที่ขาดหายไป

และก็จะเริ่มถวิลหา อาวรณ์

เช่นนี้เอง กวีนิพนธ์ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ที่ว่า "อนิจจา น่าเสียดาย / ฉันทำชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง / ส่วนที่สูญนั้นลึกซึ้ง / มีน้ำผึ้งบุหงาลดามาลย์"

จึงทรงความหมาย

ความหมายในแง่ที่ว่า หากไม่เคยประสบกับความสูญเสีย ก็จะไม่รู้สึก นั่นก็คือ ไม่รู้สึกว่าในความสูญเสียนั้น เป็นเรื่องยิ่งใหญ่

เพราะในความสูญเสียนั้น คือ "น้ำผึ้งบุหงาลดามาลย์"

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้องสาวคนนั้น กับเพื่อนคนนั้นของเธอ กล่าวได้ว่า น้องสาวคนนั้นอยู่ในฐานะที่สมบูรณ์มากยิ่งกว่า เพราะไม่เพียงแต่จะมีแม่คอยให้ความอบอุ่น คอยเช็ดน้ำตาให้เท่านั้น

ที่สำคัญก็คือ เมื่อกลับถึงบ้านก็ยังมีแม่รออยู่

มือที่อ่อนโยนที่สุด ย่อมเป็นมือแห่งความรัก มือที่อบอุ่นที่สุด ย่อมเป็นมือแห่งความห่วงหาอาทร จากคนที่รักและห่วงหาอาทร

โลกนี้ไม่มืดอย่างแน่นอน หากยังมีคนที่รักเราอยู่โดยรอบ

โลกนี้มีความหวังแจ่มจรัสอย่างแน่นอน หากทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักในวงแคบ ภายในครอบครัว หรือความรักในวงกว้างต่อโลก และมนุษยชาติก็ตาม

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

เคล็ดลับง่ายๆที่จะทำให้ครอบครัวเรามีความสุข


15 เคล็ดลับสร้างความสุขในครอบครัว
เคล็ดลับ 1 : สนุกกับสิ่งต่างๆ
สิ่งสำคัญสำหรับครอบครัวสุขสันต์ก็คือ ปรับสภาพจิตใจ ยอมรับและทำใจให้เย็นเมื่อเปิดประตูก้าวเข้าบ้าน ไม่ว่าจะเจออะไรรออยู่ก็ยิ้มสู้เข้าไว้ พึงระลึกไว้เสมอว่า “เมื่อพ่อกลับมาบ้าน ลูกๆก็มีความสุข เช่นเดียวกัน เมื่อลูกๆกลับมาบ้าน พ่อแม่ก็มีความสุข”
เคล็ดลับ 2 : ถามไถ่เรื่องราว
เมื่อลูกๆกลับมาถึงบ้าน ถามพวกเขาบ้างว่า “วันนี้ที่โรงเรียนเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับลูกบ้าง?” ถ้าคุณกลับมาบ้านอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่สนใจ แล้ว 5 นาทีต่อมาก็ไปอยู่หน้าทีวี นั่นน่ะคนในครอบครัวจะมีความสุขเมื่อเห็นคุณได้อย่างไร?
เคล็ดลับ 3 : การแต่งงานเป็นอันดับ 1
ความสัมพันธ์และการแต่งงานต้องมาเป็นอันดับ 1 จริงอยู่หากมีลูกแล้ว พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญกับลูกเป็นที่สุด แต่ก็อย่าลืมที่จะหาเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองบ้าง มิเช่นนั้นความห่างเหินจะเข้ามาเยือนได้
เคล็ดลับ 4 : ทานอาหารด้วยกัน
ควรมีเวลาได้ทานอาหารร่วมกันทั้งครอบครัว เพราะ “มันคือช่วงเวลาแห่งการเชื่อมความสัมพันธ์” ดินเนอร์ในครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็น ทานมื้อเย็นกับครอบครัวอย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์จะเป็นเรื่องที่ดีมาก
เคล็ดลับ 5 : ทำกิจกรรมร่วมกัน
ทำกิจกรรมร่วมกันทั้งครอบครัวสัก 1 หรือ 2 กิจกรรม โดยเฉพาะตอนกลางคืน เข้าไปเข้าไปพูดคุย หรือเล่านิทานให้ลูกฟัง จะเป็นเรื่องดีไม่น้อย
เคล็ดลับ 6 : ครอบครัวมาก่อนเพื่อน
ครอบครัวที่มีความสุข นั่นคือเราจะนึกถึงครอบครัวก่อนเพื่อน มิตรภาพเป็นเรื่องสำคัญ แต่ยังไงก็ต้องวางตำแหน่งให้อยู่ต่ำกว่าครอบครัว
เคล็ดลับ 7 : วางลิมิตกิจกรรมของลูกหลังเลิกเรียน
ทุกวันนี้กิจกรรมของเด็กๆหลังเลิกเรียนค่อนข้างมากเกินไป ลูกๆจะไม่ค่อยอยู่บ้านในเวลาเดียวกันกับพ่อแม่ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่มีเวลาทานข้าวเพื่อสานสัมพันธ์ความสุขในครอบครัว “ถ้าเด็กๆโตขึ้นโดยไม่รู้ว่าบัลเล่ต์เต้นยังไง พวกเขาก็ไม่เป็นไรหรอก” การได้ทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนของลูกด้วยกันทั้งครอบครัวจะดีที่สุด
เคล็ดลับ 8 : ปฎิบัติกิจกรรมทางศาสนาด้วยกัน
พาลูกสวดมนต์ก่อนนอน ไปทำบุญตักบาตร และปฏิบัติธรรม นอกจากจะสร้างแสงสว่างในครอบครัวแล้ว ยังเป็นการนำทางที่ถูกต้องที่ควรให้กับบุตรหลานด้วย
เคล็ดลับ 9 : ข่มเสียงให้เบาลงบ้าง
จำไว้เลยว่า เด็กจะเติบโตอย่างมีคุณภาพได้ ขึ้นอยู่กับความสงบสุขในครอบครัว พูดคุยกับลูก สร้างกฎอันเข้มงวด และทำโทษเมื่อเขาทำผิด อย่าหละหลวมในการควบคุมลูก และที่สำคัญอย่าตะโกนใส่เขา ถ้าคุณตะโกนใส่ลูก เขาจะทำตัวแหกคอกออกนอกกรอบของพ่อแม่ทันที
เคล็ดลับ 10 : อย่าทะเลาะกันต่อหน้าลูก
ชีวิตคู่เหมือนลิ้นกับฟัน ย่อมมีกระทบกระทั่งกันแน่นอน แต่ควรเถียงหรือทะเลาะกันให้ห่างจากต่อหน้าลูก อย่างไรก็ตามถ้าลูกเห็นคุณทะเลาะหรือลงไม้ลงมือกัน ให้คุณพูดกับลูกว่า “พ่อแม่เสียใจที่ทำให้ลูกเห็นเรื่องแบบนั้น พ่อกับแม่อาจจะมีเรื่องขัดแย้งกันบ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างโอเคแล้ว”
เคล็ดลับ 11 : อย่าทำงานหนักจนเกินไป
การทำแต่งานโดยไม่มีเวลาเล่นสนุกกับครอบครัวเลย จะทำให้ทุกสิ่งเลวร้าย ถ้าคุณไม่มีเวลาให้กับลูกเลย เด็กจะรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่าตัวเองไม่มีค่า
เคล็ดลับ 12 : สร้างเสริมความสามัคคีระหว่างพี่น้อง
สอนให้ลูกๆรักพี่รักน้องและรู้จักการแบ่งปัน โดยคุยกับเขาว่า “ในอนาคตเมื่อพวกเขามีลูกแล้วทะเลาะไม่สามัคคีกันมันจะเป็นอย่างไร”
เคล็ดลับ 13 : มีเรื่องขำขันในครอบครัว
ครอบครัวที่มีความสุขจะมีเรื่องขำขันเฉพาะในครอบครัว อย่างเช่นการตั้งชื่อเล่นเป็นสัญลักษณ์ เมื่อเรียกชื่อนั้นแล้วสามารถหัวเราะกันได้ทั้งบ้าน
เคล็ดลับ 14 : ปรับตัวรับทุกสถานการณ์
นี่เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ ทุกครอบครัวย่อมมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสมาชิกและอายุ บางคนแต่งงานออกไป บางคนตาย บางคนเกิดใหม่ บางคนโตขึ้น แต่เราก็จะผ่านมันไปได้ด้วย “ครอบครัว”
เคล็ดลับ 15 : พูดคุยสื่อสารกัน
ครอบครัวที่พูดคุยกันจะมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ปัจจุบันการสื่อสารพูดคุยในครอบครัวเริ่มน้อยลง บางคนอาศัยการส่งแมสเสจหาพ่อแม่ แต่ครอบครัวจะมีความสุขได้ “สมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องเป็นหนึ่งเดียว และเปิดใจพูดคุยกัน”

สำหรับผลวิจัยของต่างประเทศ


  Gaspar Pereira, Hilda Maria จากมหาวิทยาลัย Hokusei Gakuen University ได้ทำการศึกษาเรื่อง ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวชาวญี่ปุ่น (Japanese Family Filial) พบว่า ความขัดแย้งภายในครอบครัวของชาวญี่ปุ่นนั้น ได้รับการพิจารณาว่าเป็นความรุนแรงในกลุ่มอันดับแรกๆ ประเภทของความรุนแรงภายในครอบครัวในประเทศญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งในปัญหาหลักในสังคมญี่ปุ่นมาตั้งแต่ช่วงแรกของปี 1970 รูปแบบของความรุนแรงภายในครอบครัว จะเป็นลักษณะลูกต่อต้านพ่อแม่ ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับต่อความกดดันจากความเป็นพ่อแม่คือ การประสบความสำเร็จในการศึกษาของลูก  แม่เป็นตัวแทนที่ตกเป็นเหยื่อหลักผู้ที่ได้รับความทุกข์จากการกระทำที่สุด คือ ความรุนแรงจากลูกชาย  ระบบการศึกษาที่แข่งขันในประเทศญี่ปุ่นได้นำมาซึ่งตัวอย่างของการเป็นแม่ที่ทุ่มเทในเรื่องการศึกษาของลูก  สามารถกล่าวได้ว่า ประเด็นการศึกษาที่ผู้เป็นแม่สนับสนุนจะเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ในการเตรียมตัวการสอบเข้าโรงเรียนของลูก ระหว่างแม่กับลูกชายหลังจากการเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มในสังคมญี่ปุ่น พ่อค่อนข้างที่จะไม่อยู่บ้าน แม่ก็จะต้องดูแลลูกชายอย่างเต็มตัว ทำให้แม่มีบทบาทที่สำคัญและรู้สึกถึงความกดดัน  แต่ก็มีส่วนที่เป็นประโยชน์หรือข้อดี คือ ความผูกพัน หรือสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกชาย  การเติมเต็มของแม่คือ ความสำเร็จทางอ้อมโดยดูได้จากการประสบความสำเร็จของลูกชายและประโยชน์ของลูกที่ได้รับจากการสนับสนุนของผู้เป็นแม่   โดยในวิธีการศึกษาเรื่องนี้ จะเน้นการมองที่ประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นและเบื้องหลังทางด้านวัฒนาธรรมภายใต้บทบาทของหญิงและชาย ซึ่งจะทำให้เข้าใจความขัดแย้งภายในครอบครัว  ซึ่งทำให้เป็นประโยชน์ในการสรุปผลการศึกษาถึงสถานการณ์ที่แสดง รูปแบบของอาชญากรรมหรือความรุนแรงภายในครอบครัวตั้งแต่ปี 1970 ซึ่งความรุนแรงภายในครอบครัวนั้น ได้เป็นปัญหายืดเยื้อของสังคมญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ตามรายงานของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 37 ราย ที่ได้พยายามฆ่าตัวเองและฆ่าพ่อแม่ในห้าปีหลัง มากถึงสิบรายในแต่ละปี ซึ่งผลของสถานการณ์ทำให้ปัญหาดังกล่าวกลายเป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมญี่ปุ่น
          Lee, Romeo ได้ศึกษา เรื่อง “Support for Action Research on Males’ Perspectives on Gender and Family Violence” ในประเทศฟิลิปปินส์   พบว่ารายงานการวิจัย ชายฟิลิปปินส์และความรุนแรงในระดับครอบครัว (MENDOV)” เกิดจากคำถามที่ว่า หาก ผู้ชายเป็นแหล่งที่มาของความรุนแรง ทำไมพวกเขาถึงไม่ถูกเข้าข่าย ความรุนแรงระดับครอบครัว  ซึ่งผลการศึกษานี้มีระยะเวลา 24 เดือน (สิงหาคม 1998 – กรกฎาคม 2000 ) ในเมือง Davao and เมือง Iloilo โดยการประสานงานกับองค์การระดับชุมชน แผนต้นแบบมีลักษณะเป็นงานที่สนับสนุนและรองรับงานวิจัย โดยครอบคลุมส่วนประกอบต่างๆในสังคมอย่างกว้างขวาง ส่วนประกอบในงานวิจัยร่วม 10 เดือน ในระยะทำงาน 2 ปี เป็นการทำความเข้าใจในบริบทของชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีพฤติกรรมความรุนแรง ซึ่งพบว่า การรับรู้ ทัศนคติ ประสบการณ์ และความรู้สึก เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับ การแต่งงานชีวิตครอบครัว, ปมในจิตใจของแต่ละคน และโอกาสในการมีพฤติกรรมความรุนแรง  นอกจากนี้ได้มีการจัดทำ Workshop และ ติดตามผล เยี่ยมชมแหล่งชุมชนและสถานที่ทำงานในระยะเวลา 3 สัปดาห์  ผลของการจัดทำ Workshop พบว่า ทฤษฎีนิเวศวิทยาส่งผลถึงความรุนแรงของผู้ชาย นั้นเป็นบ่อเกิดของปัญหา ซึ่งอ้างอิงได้ว่า ระบบสังคมขนาดเล็กมีพลังและตัวแปรที่มีอิทธิพลอยู่เสมอในความรุนแรงระดับครอบครัว ระบบย่อยที่เป็นส่วนประกอบในระบบสังคมหลักที่ประกอบด้วย ครอบครัว,ศาสนา,การเมือง เศรษฐกิจ,สาธารณสุขกฎหมายสื่อหรือข่าวสาร และการศึกษา รวมทั้งระบบย่อยอื่นๆ ที่เป็นความจำเป็นส่วนบุคคล ในระดับของสังคมทั้งมีรูปแบบและไม่มีรูปแบบ โดยใช้systemic approach ในการทดสอบกับระบบย่อยทั้งหลาย และ แกนของผู้มีอำนาจในระบบสังคมที่จะเข้าใจในวิธีการขับเคลื่อนทางสังคมเพื่อการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว
          โดยสรุป จะเห็นได้ว่า การศึกษาความเสี่ยงของครอบครัวไทย จำเป็นจะต้องศึกษาทั้งช่วงก่อนการมีครอบครัว และระหว่างการมีครอบครัว ได้แก่ ความพร้อมในด้านวุฒิภาวะ การวางแผนในการมีครอบครัว ความมั่นคงในอาชีพที่สามารถทำให้ชีวิตครอบครัวดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และความสัมพันธ์ระหว่างที่ยังเป็นคู่รักกัน รวมทั้งการยอมรับของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งมีผลต่อการครองชีวิตคู่ต่อไปด้วย  ถัดมาเป็นการดำรงชีวิตเมื่อมีครอบครัวแล้ว  อันได้แก่ การทำกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกในครอบครัว  ระดับความขัดแย้งและความรุนแรงในครอบครัว  การเลี้ยงดูอบรมบุตรหลาน รวมทั้งการทำตัวเป็นแบบอย่าง  และการปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม  นอกจากนั้นปัจจัยด้านเศรษฐกิจก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตครอบครัว อันได้แก่ อาชีพ และความพอเพียงด้านรายได้รายจ่าย และการเก็บออมเพื่ออนาคต