วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

คุณภาพชีวิตสมรส


Lewis and Spanier (1979 : 450) กล่าวว่า คุณภาพชีวิตสมรสเป็นสิ่งที่มีความหมาย ครอบคลุมองค์ประกอบหลายอย่างที่แสดงถึงคุณค่า และการประเมินความสัมพันธ์ของการสมรส โดยประเมินในลักษณะที่เป็นความต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส คุณภาพชีวิตสมรสที่ดีเกี่ยวข้องกับการปรับตัวที่ดี  การสื่อสารระหว่างคู่สมรสที่ดี มีความสุขในชีวิตสมรสสูง  มีความพึงพอใจซึ่งกันและกัน  มีความขัดแย้งต่ำ มีการประสานกันระหว่างคู่สมรสเป็นอย่างดี  ซึ่งคุณภาพชีวิตสมรสในลักษณะดังกล่าวนี้  อาจจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์ของคู่สมรสว่า จะสามารถแสดงออกกันได้ดีเพียงใด และขึ้นอยู่กับหน้าที่ของชีวิตสมรสว่า คู่สมรสจะปฏิบัติตามบทบาทหนาที่ของการเป็นสามีภรรยาได้มากน้อยเพียงใด
องค์ประกอบคุณภาพชีวิตสมรส
Lewis and Spanier  (อ้างถึงใน  บุญประคอง  ภาณุรัตน์,2531:20-21) ได้เสนอแนวคิดของคุณภาพชีวิตสมรส ซึ่งมีองค์ประกอบต่อไปนี้
1) การปรับตัวในชีวิตสมรส(Marital adjustment) หมายถึง การที่คู่สมรสมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกัน และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและทำกิจกรรมร่วมกัน มีการแสดงออกให้เห็นความรักและความไว้วางใจต่อกัน รวมถึงการปรับตัวในเรื่องเพศรส
2) ความพึงพอใจในชีวิตสมรส(Marital satisfaction) หมายถึง ความรู้สึกที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและสบายใจในการใช้ชีวิตร่วมกันของคู่สมรส ที่มีต่อสถานการณ์ชีวิตสมรสในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและจิตวิทยา
3) ความสุขในชีวิตสมรส(Marital happiness) หมายถึง การที่คู่สมรสทั้งสองฝ่ายรู้สึกตรงกันว่า ตนเองและคู่สมรสอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  มีความอบอุ่นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
4) ความขัดแย้งในชีวิตสมรส (Marital conflict) หมายถึง ความคิดหรือการแสดงออกของคู่สมรสในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่สามารถตกลงกันได้ เช่น การใช้อำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ การคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ การโต้แย้ง ตลอดจนถึงการทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน
5) การสื่อสารระหว่างคู่สมรส(Marital communication) หมายถึง การที่คู่สมรสได้พูดคุยปรึกษาหารือ หรือทำความเข้าใจซึ่งกันและกันในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงการแสดงออกโดยไม่ใช้ภาษาพูด เช่น การแสดงสีหน้า ท่าทาง แววตา และมีความเชื่อมโยงกับการมีความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจกัน
6) การผสมผสานในชีวิตสมรส (Marital integration) หมายถึง การรวมหน่วยที่แยกกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นสิ่งที่รวมกันขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างไปจากผลรวม ซึ่งเกิดจากการบวกเอาส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น กลุ่มที่มีความสามัคคีร่วมมือกันเป็นอย่างดี เรียกว่า มีการบูรณาการรวมหน่วยสูง ย่อมจะทำงานได้ผลรวมทั้งหมดมากกว่าผลรวมของงานที่สมาชิกแยกกันทำ
ฉันทนา วุฒิไกรจำรัส (2546:6-10)  กล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อความสัมพันธ์ของครอบครัว  แบ่งเป็นกลุ่มปัจจัย 2 กลุ่ม  คือ กลุ่มปัจจัยด้านความพึงพอใจวิถีชีวิตของคู่สมรส  และกลุ่มปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
กลุ่มปัจจัยด้านความพึงพอใจ  ในชีวิตของคู่สมรสเป็นปัจจัยด้าน  ความพึงพอใจในวิถีชีวิตของคู่สมรส  ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตสมรส  ได้แก่ สถานภาพทางเศรษฐกิจและอิทธิพลของสังคมรอบตัว  ดังนี้
สถานภาพทางเศรษฐกิจของคู่สมรสส่วนใหญ่จะ หมายถึง รายได้ของครอบครัว ซึ่งน่าจะเป็นรายได้รวมทั้งสามีภรรยาและเป็นรายได้ที่นำมาใช้จ่าย  เพื่อทำให้ครอบครัวมีความสุขมีความมั่นคง การวัดรายได้ของคู่สมรสนี้อาจจะไม่ได้หมายถึง  ความมากน้อยของจำนวนเงินที่รับ
อิทธิพลของสังคมรอบตัว  ซึ่งสังคมรอบตัวของคู่สมรส ได้แก่ ญาติ เพื่อน รวมไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ฯลฯ หากกลุ่มคนเหล่านี้ให้การยอมรับค่าของความเป็นสามีภรรยาเป็นอย่างดี  ยอมรับว่าเป็นคู่สมรสที่เหมาะสม  หรือยอมรับบุคคลทั้งคู่ไม่รังเกียจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  ย่อมทำให้คู่สมรสมีความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้  หรือการที่คู่สมรสมีโอกาสร่วมกิจกรรมในชุมชนมาก(หมายถึงการที่ทั้งคู่ได้รับการยอมรับจากชุมชน) จะทำให้คู่สมรสมีความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้เช่นกัน
กลุ่มปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิต  ที่เป็นกลุ่มปัจจัยที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส เนื่องจากชีวิตสมรสคือการเริ่มต้นชีวิตของคนสองคน ปฏิสัมพันธ์ในแง่บวกระหว่างทั้งสองมีมากเท่าใด ความมั่นคงในชีวิตสมรสก็มีมากเท่านั้น ในทางกลับกันหากคู่สมรสมีปฏิสัมพันธ์กันไม่ดี การอยู่ร่วมกันย่อมไม่ราบรื่น แม้มีปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมหรือเอื้ออำนวยให้คู่สมรสได้อยู่รวมกันอย่างดีเพียงใดก็ตาม สิ่งที่ตามมาอาจจะ เป็นความจำยอม ในการอยู่ด้วยกัน หรือในที่สุดอาจจะถึงกับแยกทางกันเดินก็ได้
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของคู่สมรส  สามารถดูได้จากการแสดงออก หรือผลของปฏิสัมพันธ์ ในหลาย ๆแง่มุม เช่น  การยอมรับกันและกันในทุกๆ ด้าน(สรีระร่างกาย จิตใจ เพศสัมพันธ์ ฯลฯ) ความสนิทเสน่ห์หาที่มีต่อกัน การสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ การมีบทบาทที่สอดคล้องกัน(ความสมานฉันท์ทางบทบาท) และการมีความสัมพันธ์กัน แบบเพื่อนคู่ชีวิต  ซึ่งรายละเอียดของผลของปฏิสัมพันธ์เหล่านั้น มีดังนี้
1) การยอมรับกันและกัน  เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของการที่คู่สมรสจะอยู่ด้วยกันได้ เพราะการสมรสย่อม หมายถึงการต้องการใช้ชีวิตร่วมกันตลอดชีวิต  ต้องเห็นหน้ากันทุกวันต้องมีกิจกรรมร่วมกัน ต้องปรึกษาหารือกัน แก้ปัญหาร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  การยอมรับกันในแง่มุมทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน โดยไม่มีความขัดแย้งทางความคิดและอารมณ์ ไม่รำคาญกัน ไม่เบื่อกัน ไม่ดูถูกกัน ไม่เกลียดกัน ลักษณะการยอมรับกันและกันได้ มีตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น การมองอีกฝ่ายในแง่ดี  พอใจในคู่ชีวิตทั้งรูปร่างหน้าตา สติปัญญา  ความคิดเห็นและจิตใจ ซึ่งจะทำให้ทั้งคู่สื่อสารกันได้อย่างราบรื่น  แม้ต่อการตอบสนองทางเพศสัมพันธ์ที่คู่สมรสมอบให้  ยอมรับในตัวตนรวมไปถึงค่านิยมต่าง ๆ ของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นต้น
2) ความสนิทเสน่หาต่อกันเป็นปัจจัยด้านอารมณ์  ที่จะทำให้คู่สมรสรู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นเรื่องของการแสดงออกซึ่งความรักใคร่ ความต้องการทางเพศและรสนิยมทางเพศที่สอดคล้องกัน  มีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ร่วมกันรวมไปถึงการสนับสนุนส่งเสริมเป็นที่พึ่งทางใจ มีความเสมอภาคกัน (ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบหรือการกดขี่ทางเพศ) ขณะเดียวกันก็ไม่ละเมิดสิทธิส่วนตัวของกันและกัน  ให้เกียรติกัน เคียงข้างกันออกสังคม  ให้สังคมยอมรับและชื่นชมในการเคียงคู่กันของทั้งสอง ฯลฯ
3) การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การที่คู่สมรสสื่อสารกันได้มีความเข้าใจกัน พูดคุยกันในเรื่องหลากหลาย มีเวลาพูดคุยกันและที่สำคัญ คือ  เห็นความสำคัญของการพูดคุยกัน
การมีบทบาทที่สอดคล้องกันหรือความสมานฉันท์ทางบทบาท  หมายถึง ความเห็นที่สอดคล้องกันระหว่างสามีภรรยา  ว่าใครควรจะมีบทบาทใด  ซึ่งครอบคลุมการแสดงออกต่าง ๆ เช่น การสามารถตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด  การทำหน้าที่ตามควรแห่งบทบาทของตน (การเป็นสามีภรรยา  เป็นหัวหน้าครอบครัว ดูแลรักษาบ้านทรัพย์สินฯลฯ) ได้อย่างดี  และทำบทบาทได้ใกล้เคียงกับบทบาทที่คาดหวังให้ได้มากที่สุด แบ่งบทบาทกันทำอย่างยุติธรรม (ร่วมกันรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ การทำงานบ้าน การเลี้ยงดูลูก เป็นผู้เลี้ยงดูลูก  อบรมสั่งสอน แม้แต่การลงโทษลูก ฯลฯ) การมีบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกัน มีการปรองดองกันสูง ฯลฯ
4) การมีความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ในการเป็นเพื่อนคู่ชีวิต หมายถึง การที่คู่สมรส มีการพึ่งพาอาศัยกันและกัน  ในแง่อารมณ์และความคิด มีการทำกิจกรรมร่วมกันมีการไปไหนมาไหนด้วยกันและร่วมกันแก้ปัญหาของครอบครัว  อาจรวมถึงมีการไปวัดด้วยกันด้วย  ดังนั้น แนวคิดทางการศึกษาคู่สมรสไทยจึงน่ารวมไปถึงการมีความสอดคล้องกันในแง่การนับถือศาสนา การปฏิบัติตนตามแนวทางศาสนาร่วมกันเช่น ทำแต่ความดี  ละเว้นความชั่ว  ยึดหลักฆราวาสธรรมรวมไปจนถึงการทำบุญไปวัด ฯลฯ ด้วยกัน
การวัดความเป็นเพื่อนคู่ชีวิต ครอบคลุมการวัดกิจกรรมของการพูดคุยกัน การเข้าใจและยอมรับในกันและกัน  การไปเยี่ยมเพื่อนฝูงด้วยกัน หรือไปพักผ่อนด้วยกัน เป็นต้น

7. ความมั่นคงในชีวิตสมรส (Marital Stability) [top]
ความมั่นคงในชีวิตสมรส  เป็นเป้าหมายชีวิตสมรสประการหนึ่ง ซึ่งหมายถึง  การที่ชีวิตสมรสดำเนินต่อไปได้และชีวิตสมรสจะสิ้นสุดต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต  ส่วนชีวิตสมรสที่ไม่มั่นคงจะสิ้นสุดด้วยการกระทำอย่างจงใจ  โดยคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย  ในการที่จะแยกกัน หรือหย่าร้างกัน (Lewis and Spanier, 1979:269)
นอกจากนี้ยังมี Levinger (1979:36)  กล่าวถึง ความมั่นคงในชีวิตสมรส ว่าเป็นชีวิตสมรสที่ดำเนินไปอย่างปกติ ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างคู่สมรส  ตรงข้ามกับ ความไม่มั่นคงในชีวิตสมรส  เป็นลักษณะที่แสดงว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในชีวิตสมรสซึ่งอาจเกิดขึ้นในลักษณะที่เป็น รูปแบบหรือ  ไม่เป็นรูปแบบ ตามกฎเกณฑ์ของสังคม  กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การสมรสที่มั่นคงจะมีการสิ้นสุดก็ต่อเมื่อเกิดการตายโดยธรรมชาติของคู่สมรส  แต่การสมรสที่ไม่มั่นคงเป็นการจบชีวิตสมรส  โดยการจงใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่  การแยกกันอยู่จัดเป็นการเลิกกันแบบไม่เป็นทางการ  ส่วนการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ การแยกกันอยู่จัดเป็นการเลิกกันแบบไม่เป็นทางการ  ส่วนการหย่าร้างกันตามกฎหมายและการละทิ้งจากไปของคู่สมรส  จัดเป็นการเลิกกันแบบเป็นทางการ  ดังนั้นจึงจำแนกในรูปแบบความมั่นคงในชีวิตสมรสตามกฎเกณฑ์ของสังคมได้ 2 ประการ  คือ เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ดังรายละเอียดดังต่อไปนี้

                   ความมั่นคง
รูปแบบ
สมบูรณ์แบบ(มั่นคง)
ไม่สมบูรณ์แบบ(ไม่มั่นคง)
เป็นทางการ
แต่งงานกันตามกฎหมาย
แยกกันตามกฎหมาย หย่าร้างเลิกกันตามกฎหมาย
ไม่เป็นทางการ
แต่งงานไม่เปิดเผย
การแยกกันโดยการตกลงอย่างไม่เป็นทางการการทอดทิ้ง
ที่มา : Levinger, 1979:36
           
Alan Booth and David Johnson (1983:387) ให้ความหมายของความไม่มั่นคงในชีวิตสมรสว่า เป็นคำที่อาจหมายถึงความล้มเหลวในชีวิตสมรส การหย่าร้าง การแตกแยกในชีวิตสมรส  การมีคุณภาพชีวิตสมรสต่ำ และการทอดทิ้ง  ซึ่งคำเหล่านี้มีความสัมพันธ์กัน แต่มีมโนทัศน์ต่างกันในบางกรณี  เช่น ความล้มเหลวในชีวิตสมรส หมายถึง การหย่าร้างตามกฎหมาย หรือแยกทางกันอย่างถาวรตามความสมัครใจของคู่สมรส แต่ความล้มเหลวในอีกมโนทัศน์หนึ่งหมายถึง  การจากกันโดยไม่สมัครใจ ซึ่งเกิดจากการตายหรือการทอดทิ้งไปของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
สรุปได้ว่า  ความไม่มั่นคงในชีวิตสมรส  มีความสัมพันธ์กับปัจจัย 3 กลุ่ม คือ ปัจจัยทางประชากร  ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม และปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งผลกระทบของแต่ละปัจจัยที่มีต่อคู่สมรส ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของปัจเจกบุคคลและสังคม
ปัจจัยที่มีผลต่อความสัมพันธ์ของครอบครัว  แบ่งเป็นกลุ่มปัจจัย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปัจจัยด้านความพึงพอใจในวิถีชีวิตของคู่สมรส  และกลุ่มปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส  ฉันทนา วุฒิไกรจำรัส (2544: 6-10) มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) ปัจจัยด้านความพึงพอใจในชีวิตของคู่สมรส  ปัจจัยด้านความพึงพอใจในวิถีชีวิตของคู่สมรสที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตสมรส ได้แก่ สถานภาพทางเศรษฐกิจ  การทำงานนอกบ้านของภรรยา  ลักษณะโครงสร้างของครอบครัวและการที่บุคคลอื่น ๆ อาศัยอยู่ด้วยกัน และอิทธิพลของสังคมรอบตัว ดังนี้
- สถานภาพทางเศรษฐกิจ  สถานภาพทางเศรษฐกิจของคู่สมรสส่วนใหญ่จะหมายถึง รายได้ของครอบครัว  ซึ่งน่าจะเป็นรายได้รวมของทั้งสามีและภรรยา  และเป็นรายได้ที่นำมาใช้จ่ายเพื่อทำให้ครอบครัวมีความสุข มีความมั่นคง การวัดรายได้ของคู่สมรสนี้อาจจะไม่ได้หมายถึงความมากน้อยของจำนวนเงินที่ได้รับ
- แบบอย่างจากบิดามารดาของคู่สมรส  แบบอย่างจากบิดามารดาของคู่สมรส  หมายถึง  การที่คู่สมรสได้สัมผัสกับคุณภาพชีวิตสมรสของบิดามารดา และมีความประทับใจในบทบาทของพ่อและแม่ที่ตนได้เห็นมา บทบาทที่ฝ่ายชายควรได้เห็น คือ การที่พ่อของตนมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว เป็นผู้นำหรือฝ่ายหญิงจะได้เห็นคือ ความรับผิดชอบในการดูแลครอบครัว  เข้มแข็ง  เป็นกำลังใจให้แก่หัวหน้าครอบครัว  ได้เห็นความรักใคร่ ผูกพัน อดทน  ประนีประนอมกันระหว่างการใช้ชีวิตร่วมกัน ได้เห็นการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของครอบครัว ฯลฯ  การที่ทั้งชายหญิงได้เห็นบทบาทที่เหมาะที่พ่อแม่ของตนกระทำต่อหน้าที่ในครอบครัวทั้งคู่ย่อมจะยึดมาเป็นแบบอย่าง  ทั้งในการคัดเลือกคนที่เหมาะสมมาเป็นคู่ชีวิตและการที่ตนจะได้ทำบทบาทหน้าที่นั้นๆ เมื่อถึงเวลาที่ตนมีชีวิตสมรสด้วย
การสนับสนุนจากบุคคลนัยสำคัญ  การสนับสนุนจากบุคคลนัยสำคัญ  หมายถึง  การที่คู่สมรสได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากพ่อแม่แต่ละฝ่ายรวมไปถึงเครือญาติ  หรือแม้แต่เพื่อนฝูง คนใกล้ชิดอื่น ๆการที่บุคคลจะตัดสินใจเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ครอง  หากมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้าง  หรือส่วนใหญ่แสดงความไม่เห็นด้วย  บุคคลนั้นย่อมเกิดความไม่แน่ใจ ไม่อบอุ่นใจ หากตัดสินใจเลือกคนดังกล่าวเป็นคู่ครองแล้ว พบว่าจะมีปัญหาภายหลัง  อาจจะทำให้เกิดการโทษตนเองที่ไม่ฟังความคิดเห็นจากครอบครัว  หรือแม้แต่คู่สมรสที่สามารถคู่ครองคู่อยู่กันไปได้แต่กลับห่างเหิน หรือยังแสดงการไม่ยอมรับ ส่งผลให้คู่สมรสอาจเกิดความเครียด นำมาสู่ปัญหาการปรับตัวตามมาได้เช่นกัน 
การทำงานนอกบ้านของภรรยา  ในอดีตผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่นิยมหรือไม่มีความจำเป็นต้องทำงานนอกบ้าน  ภาระในการหารายได้เพื่อนำมาเลี้ยงครอบครัวเป็นหน้าที่ของสามี  ความคิดความเชื่อว่าผู้ชายเป็นผู้ทำงานนอกบ้านนี้มีมานาน  แม้ในปัจจุบันการที่ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้านนับเป็นเรื่องปกติ อันเนื่องมาจากผู้หญิงมีการพัฒนาศักยภาพของตนเองมากขึ้น จนเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไปแม้กระทั่งสามีก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้  แต่การที่ผู้หญิงต้องออกไปทำงานนอกบ้าน  มีผลกระทบมาถึงครอบครัวบางประการ  เพราะอย่างไรก็ตาม  ผู้หญิงก็ยังถูกคาดหวังว่าจะต้องทำหน้าที่ดูแลบ้านเลี้ยงดูลูก  ดูความเรียบร้อยในบ้านรวมไปถึงอาหารการกินด้วย  เช่น เมื่อผู้หญิงต้องออกไปทำงานนอกบ้านภาระในบ้านย่อมถูกกระทบกระเทือนไม่มากก็น้อย  เช่น  บ้านและลูกอาจถูกปล่อยปละละเลยไปบ้าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยเป็นสองเท่า  ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเครียด เกิดการกระทบกระทั่ง ขัดแย้งกับคู่สมรสได้
- โครงสร้างครอบครัว  ลักษณะโครงสร้างครอบครัว  หมายถึง  จำนวนที่อาศัยในครอบครัว  โดยเน้นเฉพาะที่เป็นผู้ใหญ่  ซึ่งส่วนใหญ่ควรจะเป็นบุคคลที่เป็นเครือญาติ  หรือญาติผู้ใหญ่  นักวิชาการด้านครอบครัวศึกษา  ได้เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย ของครอบครัวที่ขนาดต่างกันได้ว่าครอบครัวขนาดเล็กหรือครอบครัวเดี่ยวที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก มีข้อดี คือ สมาชิกในครอบครัวมีความใกล้ชิดกัน  สามีภรรยามีอิสระที่จะตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัวเอง ฯลฯ แต่มีข้อเสีย คือ  มีความว้าเหว่ขาดความอบอุ่นเมื่อมีความขัดแย้งในครอบครัวหรือยามมีปัญหา  จะขาดญาติพี่น้องที่จะมาช่วยเหลือหรือไกล่เกลี่ย  ประนีประนอม ขณะที่ในครอบครัวที่มีญาติมาอาศัยอยู่ด้วยสามีภรรยา  จะขาดอิสระในการตัดสินใจ  หรือกระทั่งการแสดงออกซึ่งความรักใคร่ผูกพัน  แต่ในครอบครัวใหญ่  สามีภรรยาจะมีผู้ช่วยแบ่งเบาภาระบางอย่าง เช่น ดูแลบ้าน  เลี้ยงลูก  และเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งกันอาจจะลดความรุนแรงได้ด้วยความเกรงใจผู้ใหญ่ในบ้าน
- อิทธิพลของสังคมรอบตัว  สังคมรอบตัวของคู่สมรส ได้แก่  ญาติ เพื่อน รวมไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ฯลฯ หากกลุ่มคนเหล่านี้ให้การยอมรับคู่สามีภรรยาเป็นอย่างดี  ยอมรับว่าเป็นคู่สมรสที่เหมาะสม  หรือยอมรับบุคคลทั้งคู่  ไม่รังเกียจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  ย่อมทำให้คู่สมรสมีความ   พึงพอใจในชีวิตสมรสได้  หรือการที่คู่สมรสได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมในชุมชนมาก (หมายถึง  การที่ทั้งคู่ได้รับการยอมรับจากชุมชน) จะทำให้คู่สมรสมีความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้เช่นกัน
2)  ปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตที่เป็นกลุ่มปัจจัยที่สำคัญที่สุด  น่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส  เนื่องจากชีวิตสมรส คือ การใช้ชีวิตคู่ของคนสองคน  ปฏิสัมพันธ์ในแง่บวกระหว่างทั้งสองมีมากเท่าใด ความมั่นคงในชีวิตสมรสก็มีมากเท่านั้น  ในทางกลับกันหากคู่สมรสมีปฏิสัมพันธ์กันไม่ดี  การอยู่ร่วมกันย่อมไม่ราบรื่น แม้มีปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมหรือเอื้ออำนวยให้คู่สมรสได้อยู่ร่วมกันอย่างดีเพียงใดก็ตาม  สิ่งที่ตามมาอาจจะเป็นความจำยอมในการอยู่ด้วยกันหรือในที่สุดอาจจะถึงกับแยกทางกันเดินก็ได้
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของคู่สมรสสามารถดูได้จากการแสดงออกหรือผลของการปฏิสัมพันธ์ในหลาย ๆ แง่มุม เช่น การยอมรับกันและกันในทุกๆ ด้าน (สรีระร่างกาย จิตใจ เพศสัมพันธ์ ความเชื่อ ค่านิยม ฯลฯ)  ความสนิทเสน่หาที่มีต่อกัน  การสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ การมีบทบาทที่สอดคล้อง(ความสมานฉันท์ทางบทบาท)  และการมีความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนคู่ชีวิตซึ่งรายละเอียดของปฏิสัมพันธ์เหล่านั้น มีดังนี้
- การยอมรับกันและกัน  เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของการที่คู่สมรสจะอยู่ด้วยกันได้  เพราะการสมรสย่อมหมายถึงการต้องใช้ชีวิตร่วมกันตลอดชีวิต  ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน ต้องมีกิจกรรมร่วมกัน ต้องปรึกษาหารือกัน แก้ปัญหาร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การยอมรับกันในแง่มุมทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน โดยไม่มีความขัดแย้งทางความคิดและอารมณ์ ไม่รำคาญกัน ไม่เบื่อกัน ไม่ดูถูกกัน  ไม่เกลียดกัน ลักษณะการยอมรับกันและกัน มีตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น การมองอีกฝ่ายหนึ่งในแง่ดี พอใจในคู่ชีวิตทั้งรูปร่างหน้าตา สติปัญหา ความคิดเห็นและจิตใจ ซึ่งจะทำให้ทั้งคู่สื่อสารกันได้อย่างราบรื่น  แม้การตอบสนองทางเพศสัมพันธ์ที่คู่สมรสมอบให้  ยอมรับในตัวตนรวมไปถึงค่านิยมต่าง ๆของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นต้น
- ความสนิทเสน่หาต่อกัน  ความสนิทเสน่หาต่อกันเป็นปัจจัยด้านอารมณ์ที่จะทำให้คู่สมรสรู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง  ซึ่งเป็นเรื่องของการแสดงออกซึ่งความรักใคร่  ความต้องการทางเพศและรสนิยมทางเพศที่สอดคล้องกัน มีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ร่วมกัน  รวมไปถึงการสนับสนุนส่งเสริมเป็นที่พึ่งทางใจ  มีความเสมอภาคกัน (ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบหรือกดขี่ทางเพศ)  ขณะเดียวกันก็ไม่ละเมิดสิทธิส่วนตัวของกันและกัน  ให้เกียรติกัน เคียงข้างกันออกสังคม  ให้สังคมยอมรับและชื่อชมในการเคียงคู่กันของทั้งสอง ฯลฯ
- การสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง  การที่คู่สมรสสื่อสารกันได้มีความเข้าใจกัน พูดคุยกันในเรื่องหลากหลาย  มีเวลาพูดคุยกัน และที่สำคัญคือ  เห็นความสำคัญของการพูดคุยกัน
-  การมีบทบาทที่สอดคล้องกัน  หรือความสมานฉันท์ทางบทบาท หมายถึง ความเห็นที่สอดคล้องกันระหว่างสามีภรรยาว่าใครควรจะมีบทบาทใด ซึ่งครอบคลุมการแสดงออกต่าง ๆ เช่น การสามารถตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด การทำหน้าที่ตามควรแห่งบทบาทของตน (การเป็นสามี  ภรรยา เป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลรักษาบ้านทรัพย์สินฯลฯ) ได้อย่างดี  และทำบทบาทได้ใกล้เคียงกับบทบาทที่คาดหวังให้ได้มากที่สุด  แบ่งบทบาทกันทำอย่างยุติธรรม (ร่วมกันรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ  การทำงานบ้าน  การเลี้ยงลูก เป็นผู้เลี้ยงดูลูก อบรมสั่งสอน  แม้แต่การลงโทษลูก ฯลฯ) การมีบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกัน มีการปรองดองกันสูง ฯลฯ
- การมีความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนคู่ชีวิต  หมายถึง การที่คู่สมรสมีการพึ่งพาอาศัยกันและกันในแง่ของอารมณ์และความคิด  มีการทำกิจกรรมร่วมกัน  มีการไปไหนมาไหนด้วยกันและร่วมกันแก้ปัญหาของครอบครัว อาจรวมถึงมีการวัดความเป็นเพื่อนคู่ชีวิตครอบคลุมการวัดกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ เช่น การพูดคุยกัน  การเข้าใจในกันและกัน  การไปเยี่ยมเพื่อนฝูงด้วยกัน หรือไปพักผ่อนด้วยกัน เป็นต้น
ดังนั้นในแนวคิดทางการศึกษาคู่สมรสไทยจึงน่ารวมไปถึงการมีความสอดคล้องในแง่การนับถือศาสนา การปฏิบัติตนตามแนวทางศาสนาร่วมกัน เช่น ทำความดี  ละเว้นความชั่ว  ยึดหลักฆราวาสธรรม รวมไปจนถึงการทำบุญไปวัด ฯลฯ ด้วยกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น