ในการศึกษาเรื่อง โครงการสำรวจความเสี่ยงของครอบครัวไทย คณะผู้วิจัยได้มีการศึกษาผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษาดังกล่าว ดังต่อไปนี้
โสภา ชปิลมันน์ และคณะ (2534:4/28-30) ได้ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบครอบครัวไทยที่พึงปรารถนาในสังคมเมืองในประเทศไทย โดยสอบถามเรื่องทัศนคติจากกลุ่มตัวอย่างถึงลักษณะคู่สมรสที่คิดว่าจำเป็นต้องมี พบว่า ร้อยละ 69.2 เห็นว่าต้องเข้ากับพ่อแม่พี่น้องได้ ร้อยละ 59.7 เห็นว่าต้องมีอาชีพที่แน่นอน ร้อยละ 54.6 เห็นว่าต้องช่วยรับภาระครอบครัวได้ ร้อยละ 53.8 เห็นว่า ต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ ร้อยละ 27.1 และ 21.3 เห็นว่าต้องมีอายุที่ไล่เลี่ยกัน และต้องมีบ้านอยู่อาศัยของตนเอง เป็นลำดับ
สำหรับความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างในเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อความมั่นคงในครอบครัว พบว่าร้อยละ 81.7 เห็นว่าเป็นความเข้าใจกันระหว่างสามีและภรรยา ร้อยละ 70.4 เห็นว่าเงิน ร้อยละ 61.8 เห็นว่าบ้านและที่ดิน ร้อยละ 6.09 เห็นว่าความรักของพ่อแม่และลูก ร้อยละ 49.6 และ 24.9 เห็นว่าตำแหน่งหน้าที่การงาน และการช่วยเหลือดูแลของญาติตามลำดับ นอกจากนี้เมื่อสอบถามถึงลักษณะครอบครัวของคู่สมรสที่ประสบความสำเร็จ พบว่าร้อยละ 85.2 เห็นว่าครอบครัวควรจะแยกเป็นครอบครัวเดี่ยว ส่วนร้อยละ 10.7 และ 4.1 เห็นว่าอยู่กับพ่อแม่ และอยู่กับพ่อแม่และญาติ ตามลำดับ
สุมิตรา รัฐประสาท (2527:96-97) ได้ศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับความมั่นคงในชีวิตสมรสของครูสังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร โดยศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้านประชากร ด้านสังคมเศรษฐกิจและปัจจัยด้านจิตวิทยา พบว่า ครูมีความมั่นคงในชีวิตสมรส ทั้งด้านความรู้สึก และพฤติกรรมอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความมั่นคงในชีวิตสมรสมากที่สุด คือ ความเป็นเพื่อนคู่ชีวิต มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความมั่นคงในชีวิตสมรส และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความมั่นคงในชีวิตสมรส รองลงมา คือ การสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวเดิม ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ เพศ จำนวนบุตร อายุของบุตรคนสุดท้อง ความคล้ายคลึงของภูมิหลังทางสังคมด้านการศึกษาและอาชีพ การพึ่งตนเองได้เชิงเศรษฐกิจของภรรยา ภาระหนี้สินของครอบครัว ความแตกต่างด้านอายุของคู่สมรสและความพึงพอใจในด้านเพศสัมพันธ์ ไม่มีความสัมพันธ์กับความมั่นคงในชีวิตสมรส
วรรณาภรณ์ โภคภิรมย์ (2545: บทคัดย่อ) ศึกษาการดำรงชีวิตสมรสที่ยั่งยืน ในทัศนะของผู้ที่เคยแต่งงานแล้วพบว่า ทัศนะต่อการดำรงชีวิตสมรสของผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ พบว่าในการดำรงชีวิตสมรสนั้น คู่สมรสต้องมีความเอื้ออาทรห่วงใยกัน คอยดูแลทุกข์สุขซึ่งกันและกัน มีความรักความเข้าใจกัน มีความซื่อสัตย์ต่อกัน เชื่อใจกัน มีความอดทน มีความรับผิดชอบ รู้จักบทบาทหน้าที่ของตน โดยผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญมีทัศนะว่า ถ้าคู่สมรสทุกคู่มีหลักเช่นนี้แล้ว ชีวิตคู่ก็จะดำรงอยู่อย่างราบรื่น พฤติกรรมการดำรงชีวิตสมรสให้ยั่งยืน พบว่าผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการปรับตัวเข้าหากันโดยมีการประนีประนอมกัน และรองลงมาคือการแสดงออกซึ่งความคิด ควรมีเหตุผลในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆใช้สติและต้องมีการแสดงออกซึ่งความรัก ความห่วงใยกัน คอยถามไถ่ทุกข์สุขกัน และต้องมีการทำกิจกรรมร่วมกัน แนวทางส่งเสริมให้ครอบครัวเข้มแข็งนั้น คู่สมรสจะต้องมีพื้นฐานความรักความเข้าใจที่ดีต่อกัน เพราะเมื่อมีความรักความเข้าใจต่อกันแล้ว ปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นในครอบครัวก็จะเป็นเรื่องไม่สำคัญและเห็นว่าความซื่อสัตย์ความจงรักภักดีต่อกันก็เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครอบครัวเข้มแข็ง
กลุ่มงานวิเคราะห์และพยากรณ์สถิติเชิงสังคม สำนักสถิติพยากรณ์ (2549: 2-3) สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้จัดทำบทความสรุปสถานการณ์การสูบบุหรี่ของประเทศไทย เป็นการต่อเนื่องจากวันงดสูบบุหรี่โลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอให้เห็นถึงแนวโน้ม สถานการณ์ ลักษณะของผู้สูบบุหรี่ และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากรไทย ผลสรุปที่สำคัญดังนี้
แนวโน้มของประชากรที่สูบบุหรี่ ตั้งแต่ปี 2519 – 2547 แสดงให้เห็นอัตราการสูบบุหรี่ของประชากรไทยมีแนวโน้มลดลง โดยปี 2519 มีผู้สูบบุหรี่ประมาณร้อยละ 30.1 และได้ลงลงเหลือ ร้อยละ 17.9 ในปี 2547 อัตราการสูบบุหรี่ลดลงทั้งชายและหญิง
ลักษณะของผู้ที่สูบบุหรี่และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ พบว่า ประชากรอายุ 15 ปี ขึ้นไปที่สูบบุหรี่ มีจำนวน 11.4 ล้านคน หรือร้อยละ 23.0 ในจำนวนนี้ มีผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำหรือสูบทุกวัน 9.6 ล้านคนหรือร้อยละ 19.5 และสูบนาน ๆ ครั้ง(สูบไม่สม่ำเสมอหรือกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนไม่ได้) 1.7 ล้านคน หรือร้อยละ 3.5 นอกจากนี้ ประชากรในวัยทำงานอายุ 25 – 59 ปี สูบบุหรี่เป็นประจำสูงที่สุด คือ สูบบุหรี่ร้อยละ 22.8 ของประชากรในวัยเดียวกัน รองลงมา คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สูบร้อยละ 17.7 และเยาวชนอายุ 15 -24 ปี สูบร้อยละ 11.2 อัตราการสูบบุหรี่เป็นประจำในปี 2547 ลดลงจากปี 2544 ทุกกลุ่มอายุ โดยกลุ่มเยาวชนมีอัตราร้อยละของการสูบบุหรี่เป็นประจำลงลงน้อยกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ
พฤติกรรมการสูบบุหรี่ขณะอยู่ในบ้านกับสมาชิกในครัวเรือน ร้อยละ 87.9 ของผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ จะสูบบุหรี่ขณะอยู่ในบ้านกับสมาชิกในครัวเรือน อัตราร้อยละนี้เปลี่ยนแปลงลงลงจากปี 2544 เล็กน้อย (ปี 2544 มีอัตราร้อยละ 88.5)
โดยสรุป จากข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากร จะเห็นว่า พฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากรไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ ในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบและมาตรการที่สำคัญ ๆ หลายเรื่อง และที่สำคัญยิ่ง คือ จากกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยเยาวชนไทยเกี่ยวกับปัญหาของบุหรี่ ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้เพิ่มการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ อย่างไรก็ตาม การรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ควรจะมีการดำเนินอย่างต่อเนื่องและมีการสร้างแบบอย่างที่ดีในสังคมผู้ใหญ่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน ส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วยมาตรการเหล่านี้ ก็น่าจะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ปลอดบุหรี่และมีความน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (2549: 1-3) ได้จัดทำ บทความพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพของประชากรไทย มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อให้คนไทยทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของพฤติกรรมเสี่ยงที่มีต่อสุขภาพเพื่อจะได้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ข้อมูลที่นำมาใช้ได้มาจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงแรงงาน โดยได้นำเสนอพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพที่สำคัญ ดังนี้
การสูบบุหรี่ จากผลการสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติครั้งล่าสุดในปี 2549 พบว่า อัตราการสูบบุหรี่ของประชากรมีแนวโน้มลดลงในช่วงระหว่าง ปี 2544 – 2549 โดยในปี 2547 ร้อยละ 19.5 และร้อยละ 18.9 ในปี 2549 สำหรับอายุเฉลี่ยเมื่อเริ่มสูบบุหรี่โดยรวมของปี 2549 เป็นประมาณ 19 ปี ชายเริ่มสูบบุหรี่เร็วกว่าหญิง โดยชายเริ่มสูบเมื่ออายุ ประมาณ 18 ปี และหญิงเริ่มสูบเมื่ออายุ ประมาณ 23 ปี
การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่ดื่มสุราเป็นร้อยละ 31.6 ลดลงเล็กน้อยจากปี 2547 ชายดื่มสุรามากกว่าหญิง คือ ชายร้อยละ 54.6 และหญิงร้อยละ 10.0 ซึ่งพบว่าในกลุ่มอายุ 25 -59 ปี มีผู้ดื่มสุรามากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 36.8
จะเห็นว่า พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพของประชากรไทย มีผลอย่างมากต่อความเสี่ยงปัญหาครอบครัวไทย เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกครอบครัว จึงทำให้การศึกษาในพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าว ถือเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ เนื่องจากมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของสมาชิกอื่น ๆ ในครอบครัว อันอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงได้ นอกจากนั้นยังอาจมีผลต่อการเลียนแบบของบุตรหลาน และก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเพียงพอและการได้ออมรายได้ของครอบครัวอีกด้วย
อ้วน เจียรบุตร (2543:บทคัดย่อ) ศึกษาคุณภาพชีวิตด้านครอบครัวและชุมชนของประชาชนไทยพุทธ ในชุมชนชนบท: ศึกษาเฉพาะกรณี บ้านพรุ ตำบลลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พบว่าประเด็นด้านคุณภาพครอบครัว ภาพรวมอยู่ในระดับสูง และหากแยกรายตัวชี้วัด พบว่า ตัวชี้วัดอยู่ในระดับสูง มี 3 ตัว คือ 1) ความสัมพันธ์ในครอบครัว 2) การดำรงชีวิตในครอบครัว 3) การมีส่วนตัดสินใจในกิจกรรมของครอบครัว ตัวชี้วัดที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง มี 3 ตัว 1) ความพร้อมในการสร้างครอบครัว 2) สภาพครอบครัวและ 3) การแสดงบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของสมาชิก และตัวชี้วัดที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ มี 1 ตัวชี้วัด คือ การรับรู้ข่าวสารของครอบครัว
วริษา โทณะวณิก (2545: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่องความมั่นคงในครอบครัวของนักศึกษาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พบว่า นักศึกษามีความมั่นคงในครอบครัวระดับสูง ปัจจัยด้านครอบครัวของนักศึกษาที่มีผลต่อความมั่นคงในครอบครัว ได้แก่ ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว และการใช้เวลาในครอบครัว
ฉันทนา วุฒิไกรจำรัส (2543:บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาปัจจัยก่อนการสมรส ปัจจัยการเลือกคู่ครอง และทัศนคติต่อการสมรสระหว่างแรงงานที่จดทะเบียนสมรสและไม่จดทะเบียนสมรส :ศึกษากรณีแรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นหญิงซึ่งมีแบบแผนการสมรสแบบไม่จดทะเบียนสมรส ปัจจัยก่อนการสมรส กลุ่มที่ไม่จดทะเบียนสมรสมีอายุแรกสมรสต่ำกว่า และใช้ระยะเวลาคบคุ้นกับเพื่อนต่างเพศไม่นาน ขณะที่กลุ่มที่มีแบบแผนการสมรสแบบจดทะเบียนสมรส มีอายุแรกสมรสสูงกว่า และใช้ระยะเวลาคบคุ้นเคยนานกว่า ด้านการสนับสนุนจากบุคคลนัยสำคัญ กลุ่มจดทะเบียนสมรสได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่มากกว่า แต่กลุ่มไม่ได้จดทะเบียนสมรสพ่อแม่มักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการสมรส ปล่อยให้ตัดสินใจเอง การเลือกคู่ครอง กลุ่มที่จดทะเบียนสมรสเลือกคู่ครองจากความคล้ายคลึงกันทางทัศนคติ รองลงมา คือ ความคล้ายคลึงกันทางสังคม ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสเลือกคู่ครองจากความคล้ายคลึงกันทางกายภาพ ด้านเกณฑ์การเลือกคู่ครอง กลุ่มจดทะเบียนสมรสจะเลือกเกณฑ์ในการมีความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสใช้เกณฑ์ความประพฤติดีและนิสัยดี ในการเลือกคู่ครอง
วีระศักดิ์ มโนวรรณ์ (2547:บทคัดย่อ) จากการศึกษาคุณภาพชีวิตของประชาชนตอนกลางลุ่มแม่น้ำอิง ด้านความมั่นคงในการดำเนินชีวิตในครอบครัวและชุมชน : กรณีศึกษา อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย พบว่า คุณภาพชีวิตด้านความมั่นคงในการดำเนินชีวิตครอบครัวภาพรวมอยู่ในระดับสูง ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่มีระดับค่าเฉลี่ยสูง คือ สภาพบ้านที่อยู่อาศัย ส่วนตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่มีระดับค่าเฉลี่ยต่ำ คือ สถานะการเงินของครอบครัว เพราะมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ส่วนคุณภาพชีวิตด้านความมั่นคงในการดำเนินชีวิตในชุมชน ภาพรวมอยู่ในระดับสูง ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่มีระดับค่าเฉลี่ยสูง คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่ระดับค่าเฉลี่ยต่ำ คือ การรับรู้ข้อมูล ข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อม
สุรีรัตน์ จุลานุพันธ์ (2549:บทคัดย่อ) จากการศึกษาความคาดหวังเกี่ยวกับรูปแบบครอบครัวที่พึงปรารถนา กรณีศึกษา สถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถีและสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านมหาเมฆ พบว่า สภาพปัญหาครอบครัว เป็นลักษณะที่บิดามารดาไม่พร้อมต่อการมีบุตร สังเกตได้จากสาเหตุอันดับหนึ่งที่ผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาที่เกิดจากบิดามารดามีสามีหรือภรรยาใหม่ ปัญหาการถูกทารุณกรรมทางเพศ ปัญหาที่เกิดจากบิดามารดาติดคุกหรือติดยา ปัญหาเกิดจากบิดามารดาเสียชีวิตและปัญหาที่เกิดจากครอบครัวฐานะยากจน ส่วนรูปแบบครอบครัวที่พึงปรารถนา ของผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญพบว่า ต้องการรูปแบบที่บิดามารดาและบุตรอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างอบอุ่น นอกจากนั้นยังต้องการรูปแบบครอบครัวที่มีความรักความผูกพันและรูปแบบครอบครัวที่ทุกคนในครอบครัวต่างใช้เหตุผลเป็นหลัก ไม่ใช้อารมณ์และความรุนแรง
เพ็ญจันทร์ ประดับมุข (2550) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ความรุนแรงในครอบครัว โดยได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่า ในอดีตสังคมไทยมีอุดมคติว่า สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่ปลอดภัย สงบสุข แต่ปัจจุบันพบว่าสังคมไทยมีแนวโน้มของความรุนแรง การบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการทำร้ายกันเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมตำรวจ กระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุตรงกันว่า ปัจจุบันเด็กหลายคนถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง และเด็กถูกทำร้ายจากในบ้านมากกว่านอกบ้าน ทั้งจากผู้เป็นพ่อแม่ คนรู้จัก หรือสามีภรรยาที่อยู่ร่วมกัน นอกจากนี้ กรณีที่สามีตบตีภรรยาว่าเป็นการทำทารุณกรรมในรูปแบบที่สามัญที่สุดในครอบครัว และพบเห็นได้มากที่สุด ซึ่งความรุนแรง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ถูกกระทำโดยตรง ทั้งการบาดเจ็บทางร่างกาย จิตใจ จนบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และอาจจะส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และการปรับตัว รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านการรักษาในอนาคต
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวประกอบด้วยหลายปัจจัย ดังนี้ 1) ระดับบุคคล เกิดจากความเจ็บป่วยทางจิตของผู้ลงมือกระทำ การใช้สารเสพติด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2) สังคมจิตวิทยา เกิดจากโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น เด็กขาดการดูแลเอาใจใส่ อบรมพฤติกรรมที่ถูกต้อง ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบเมื่อโตขึ้น หรืออาจเกิดจากความเครียดเรื่องความยากจน ครอบครัวล้มเหลว และ 3) สังคมวัฒนธรรม เนื่องจากโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อต่อการเกิดความรุนแรง ความไม่เป็นธรรมของโครงสร้างทางสังคมที่ยึดถือกัน ตั้งแต่ในอดีตว่าผู้ชายเป็นใหญ่ กลายเป็นวัฒนธรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้เพราะสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากสังคมเกษตรกรรม มาเป็นอุตสาหกรรมและกลายเป็นสังคมยุคเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างครอบครัว เช่น การอพยพของแรงงานเข้าสู่เขตเมืองมากขึ้น สมาชิกในครอบครัวมีเวลาในแก่กันน้อยลง อัตราการหย่าร้างมากขึ้น ปัญหาเรื่องโรคระบาดและยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลกระทบต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน สำหรับแนวทางการแก้ไข คือ การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง และวัฒนธรรม สังคมต้องตระหนักและเห็นความสำคัญ โดยไม่คิดว่าเป็นปัญหาเฉพาะสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวไทยได้ในการเฝ้าระวังความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมองว่า เรื่องความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัวจึงไม่มีบุคคลภายนอกเข้าไปช่วยเหลือได้
บุญเสริม หุตะแพทย์ (มปป.) ศึกษาลักษณะการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว พบว่า การจัดบริการที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนส่วนใหญ่เน้นการแก้ไขปัญหามากกว่าการป้องกัน ประเภทและลักษณะของการบริการที่จัดให้มากที่สุด คือการให้คำปรึกษา การบริการด้านกฎหมาย ด้านอาชีพ ด้านสุขภาพ ด้านการเงิน และยังมีการบริการอื่น ๆ ได้แก่ การบริการที่พัก เครื่องอุปโภคบริโภค และกิจกรรมนันทนาการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ มีการประสานงานกันตามภาระหน้าที่หลักในด้านการคุ้มครอง การฝึกอาชีพ การบำบัดฟื้นฟู และด้านกฎหมาย มีการติดตามผลผู้รับบริการทั้งที่ยังพักอยู่ในสถานที่ที่หน่วยงานจัดให้ และผู้ที่กลับคืนสู่ครอบครัวแล้ว การบริการของหน่วยงานสามารถแก้ไขปัญหาได้บางส่วน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขสาเหตุของปัญหาได้ ขาดกฎหมายที่จะเอาผิดกับพ่อแม่ที่กระทำความรุนแรงต่อลูก และการป้องกันการถูกกระทำซ้ำ
(ที่มา:http://www.women-family.go.th/women2/bibliology)
นิลาวรรณ ฉันทะปรีดา และคณะ (2545) ศึกษาความรุนแรงระหว่างพี่น้องในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า ความรุนแรงระหว่างพี่น้องมีทั้งความรุนแรงทางด้านร่างกาย ด้านอารมณ์/จิตใจ และด้านเพศ พฤติกรรมความรุนแรงแต่ละด้านส่วนใหญ่ ได้แก่ ตี หรือตบ ด่าทอหรือแกล้งให้โกรธและอาย และเปิดเผยร่างกายหรือถอดเสื้อผ้า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ความรุนแรง ได้แก่ ความเสี่ยงส่วนบุคคลและครอบครัว การศึกษา ชนิดของครอบครัว อายุของผู้ถูกกระทำ จำนวนพี่น้อง และจำนวนเด็กอื่นในครอบครัว โดยผู้ที่ถูกกระทำต่างกันจะมีการจัดการกับความรุนแรง และรับรู้การตอบสนองของพ่อแม่ และผลกระทบแตกต่างกัน วิธีการจัดการของพ่อแม่ ส่วนใหญ่พยายามลดความรุนแรงด้วยคำพูด ส่วนผู้ถูกกระทำมักใช้วิธีการทำอารมณ์ให้ดีขึ้นโดยมีผลกระทบตามมาในปัจจุบันนี้ เช่น กลัวผู้กระทำ กลัวเรื่องเพศ นอนฝันร้าย อยากทำร้ายตนเอง ใช้สารเสพติด โกรธ และมีความห่างเหินระหว่างพี่น้อง
(ที่มา: http://www.women-family.go.th/women2/bibliology)
สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (2547) ได้จัดทำรายงานสถานการณ์ทางสังคม พบว่า แนวโน้มของสถานการณ์ครอบครัว เกิดจากอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ และภาวะความทันสมัยที่เน้นปัจเจกบุคคลและค่านิยมในการบริโภคและวัตถุนิยมมากขึ้น ส่งผลให้สังคมมีการแข่งขัน ประกอบกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมและกระแสเศรษฐกิจของประเทศและโลก ส่งผลต่อค่าครองชีพและแบบแผนของครอบครัว ผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้ครอบครัวมีแนวโน้มประสบปัญหา ดังนี้
1) โครงสร้างของครอบครัวทั้งในเมืองและในชนบทที่เป็นครอบครัวเดี่ยว จะมีแนวโน้มที่ขนาดของครอบครัวเล็กลง และรูปแบบของครอบครัวจะมีหลากหลายมากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2)โครงสร้างของครอบครัวที่ประกอบด้วยบุคคลสองวัย คือ ผู้สูงอายุและเด็กจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะในชนบทเนื่องจาก การที่หนุ่มสาววัยแรงงานอพยพเข้าไปหางานทำในเมืองใหญ่ เมื่อมีครอบครัวและมีบุตร โดยไม่มีความพร้อม ประกอบกับปัญหาค่าครองชีพสูงก็จะส่งลูกไปให้ปู่ย่าตายายช่วยเลี้ยงดู จึงทำให้ครอบครัวในชนบทมีโครงสร้างเพียงบุคคลสองวัย คือ วัยสูงอายุและเด็กมากขึ้น
3) ผู้สูงอายุในชนทบที่เคยมีบทบาทในการถ่ายทอดคุณธรรมและวัฒนธรรมให้แก่ลูกหลาย และเป็นวัยที่ควรจะได้รับการดูแล เอาใจใส่ลูกหลาน จะถูกปรับเปลี่ยนบทบาทและรับภาระมากขึ้นในการทำหน้าที่แทนพ่อแม่เด็ก โดยจะต้องรับภาระในการเลี้ยงดูเด็กทั้งทางกายภาพและจิตใจ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่อพยพมาจากชนบทและแสวงหางานทำในเมือง เมี่อมีบุตรก็จะส่งลูกให้ปู่ย่า ตายาย ช่วยเลี้ยงดูแทน สำหรับผู้ที่มีความรับผิดชอบก็จะมีการติดต่อ ส่งเสียเงินทองเป็นค่าเลี้ยงดู ผู้สูงอายุจะไม่ต้องรับภาระในการหารายได้เพื่อเลี้ยงดูหลาน แต่ในกรณีที่พ่อแม่เด็กไม่รับผิดชอบและห่างเหินการติดต่อ ก็จะทำให้ ผู้สูงอายุต้องรับภาระหนักขึ้นทั้งในการหารายได้เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ในขณะเดียวกันก็ต้องให้การอบรม สั่งสอนเด็กด้วย ซึ่งภาระดังกล่าว ส่งผลต่อภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจอีกด้วย
4) ครอบครัวที่มีสามีและภรรยาอยู่ร่วมกัน โดยไม่มีการจดทะเบียนสมรสมีมากขึ้น เนื่องจากค่านิยมในการรักอิสระ และไม่ต้องการพึ่งพิงซึ่งกันและกัน
5) ครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เลี้ยงลูกตามลำพังมีมากขึ้น เนื่องจากอัตราการหย่าร้างที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การแยกกันอยู่ของครอบครัว และจากการเสียชีวิตของคู่สมรส โดยเฉพาะครอบครัวที่มีแม่เป็นหัวหน้าครอบครัวและเลี้ยงลูกตามลำพังจะมีแนวโน้มสูงขึ้น การที่ครอบครัวมีผู้ปกครองที่เป็นพ่อหรือแม่คนเดียว ทำให้ต้องแบกความรับผิดชอบทั้งของตนเอง ครอบครัว และบุตรเพิ่มมากขึ้น ครอบครัวที่มีผู้ปกครองคนเดียวต้องรับภาระหนักด้านเศรษฐกิจ ประสบปัญหาความเครียดและความว้าเหว่ ทำให้ไม่มีเวลาในการอบรมสั่งสอนและการช่วยเหลือลูกในด้านการเรียนอย่างเหมาะสม
6) การเลี้ยงดูเด็กของครอบครัว พ่อแม่จะมีระยะเวลาการเลี้ยงลูกและการอยู่กับลูกสั้นลง เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจและการให้ความสำคัญกับบทบาททางหน้าที่การงานมากกว่าครอบครัว เด็กเล็กจะถูกเลี้ยงดูในลักษณะ ดังนี้
(1) ปู่ย่า ตายายเลี้ยงดูแทน สำหรับครอบครัวที่ฐานะทางเศรษฐกิจไม่มั่นคงและมีถิ่นฐานอยู่ในชนบท เมื่อคลอดบุตรและเลี้ยงดูได้ระยะหนึ่งก็จะส่งให้ปู่ย่า ตายายช่วยเลี้ยงดูแทน พ่อแม่จะอยู่กันตามลำพัง
(2) มีผู้ช่วยดูแลเด็กโดยการว่าจ้างบุคคลมาช่วยเลี้ยงดูที่บ้านแทน พ่อแม่จะออกไปทำงานนอกบ้าน เด็กจะอยู่กันตามลำพังกับผู้ช่วยดูแล ซึ่งเด็กจะต้องอยู่กับผู้ช่วยดูแลทั้งวัน หากบุคคลที่ได้มีคุณภาพจะทำให้เด็กมีการพัฒนาการที่ดี หรือหากมีผู้สูงอายุที่เป็นปู่ย่า ตายายอยู่ด้วยจะช่วยควบคุมการเลี้ยงดูได้ด้วย ในทางกลับกันหากผู้ช่วยดูแลเด็กไม่มีคุณภาพและคุณธรรมก็จะมีผลต่อพัฒนาการและพฤติกรรมของเด็กต่อไป
(3) การจ้างสถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งมีทั้งเช้าไป – เย็นกลับ และรับกลับสัปดาห์ละครั้ง
สำหรับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูในลักษณะที่ (2) และ (3) เมื่อเด็กมีอายุได้ 2 – 3 ปี จะถูกส่งเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนหรือโรงเรียนอนุบาล ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะมีผลต่อพัฒนาการของเด็กทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
7) เด็กกำพร้าพ่อหรือแม่หรือทั้งพ่อและแม่ อันเนื่องมาจากพ่อแม่เสียชีวิตจากการติดเชื้อเอดส์ มีจำนวนมากขึ้น (2547)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น