Gaspar Pereira, Hilda Maria จากมหาวิทยาลัย Hokusei Gakuen University ได้ทำการศึกษาเรื่อง ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวชาวญี่ปุ่น (Japanese Family Filial) พบว่า ความขัดแย้งภายในครอบครัวของชาวญี่ปุ่นนั้น ได้รับการพิจารณาว่าเป็นความรุนแรงในกลุ่มอันดับแรกๆ ประเภทของความรุนแรงภายในครอบครัวในประเทศญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งในปัญหาหลักในสังคมญี่ปุ่นมาตั้งแต่ช่วงแรกของปี 1970 รูปแบบของความรุนแรงภายในครอบครัว จะเป็นลักษณะลูกต่อต้านพ่อแม่ ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับต่อความกดดันจากความเป็นพ่อแม่คือ การประสบความสำเร็จในการศึกษาของลูก แม่เป็นตัวแทนที่ตกเป็นเหยื่อหลักผู้ที่ได้รับความทุกข์จากการกระทำที่สุด คือ ความรุนแรงจากลูกชาย ระบบการศึกษาที่แข่งขันในประเทศญี่ปุ่นได้นำมาซึ่งตัวอย่างของการเป็นแม่ที่ทุ่มเทในเรื่องการศึกษาของลูก สามารถกล่าวได้ว่า ประเด็นการศึกษาที่ผู้เป็นแม่สนับสนุนจะเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ในการเตรียมตัวการสอบเข้าโรงเรียนของลูก ระหว่างแม่กับลูกชายหลังจากการเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มในสังคมญี่ปุ่น พ่อค่อนข้างที่จะไม่อยู่บ้าน แม่ก็จะต้องดูแลลูกชายอย่างเต็มตัว ทำให้แม่มีบทบาทที่สำคัญและรู้สึกถึงความกดดัน แต่ก็มีส่วนที่เป็นประโยชน์หรือข้อดี คือ ความผูกพัน หรือสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกชาย การเติมเต็มของแม่คือ ความสำเร็จทางอ้อมโดยดูได้จากการประสบความสำเร็จของลูกชายและประโยชน์ของลูกที่ได้รับจากการสนับสนุนของผู้เป็นแม่ โดยในวิธีการศึกษาเรื่องนี้ จะเน้นการมองที่ประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นและเบื้องหลังทางด้านวัฒนาธรรมภายใต้บทบาทของหญิงและชาย ซึ่งจะทำให้เข้าใจความขัดแย้งภายในครอบครัว ซึ่งทำให้เป็นประโยชน์ในการสรุปผลการศึกษาถึงสถานการณ์ที่แสดง รูปแบบของอาชญากรรมหรือความรุนแรงภายในครอบครัวตั้งแต่ปี 1970 ซึ่งความรุนแรงภายในครอบครัวนั้น ได้เป็นปัญหายืดเยื้อของสังคมญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ตามรายงานของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 37 ราย ที่ได้พยายามฆ่าตัวเองและฆ่าพ่อแม่ในห้าปีหลัง มากถึงสิบรายในแต่ละปี ซึ่งผลของสถานการณ์ทำให้ปัญหาดังกล่าวกลายเป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมญี่ปุ่น
Lee, Romeo ได้ศึกษา เรื่อง “Support for Action Research on Males’ Perspectives on Gender and Family Violence” ในประเทศฟิลิปปินส์ พบว่ารายงานการวิจัย “ชายฟิลิปปินส์และความรุนแรงในระดับครอบครัว (MENDOV)” เกิดจากคำถามที่ว่า หาก ผู้ชายเป็นแหล่งที่มาของความรุนแรง ทำไมพวกเขาถึงไม่ถูกเข้าข่าย ความรุนแรงระดับครอบครัว ซึ่งผลการศึกษานี้มีระยะเวลา 24 เดือน (สิงหาคม 1998 – กรกฎาคม 2000 ) ในเมือง Davao and เมือง Iloilo โดยการประสานงานกับองค์การระดับชุมชน แผนต้นแบบมีลักษณะเป็นงานที่สนับสนุนและรองรับงานวิจัย โดยครอบคลุมส่วนประกอบต่างๆในสังคมอย่างกว้างขวาง ส่วนประกอบในงานวิจัยร่วม 10 เดือน ในระยะทำงาน 2 ปี เป็นการทำความเข้าใจในบริบทของชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีพฤติกรรมความรุนแรง ซึ่งพบว่า การรับรู้ ทัศนคติ ประสบการณ์ และความรู้สึก เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับ การแต่งงาน, ชีวิตครอบครัว, ปมในจิตใจของแต่ละคน และโอกาสในการมีพฤติกรรมความรุนแรง นอกจากนี้ได้มีการจัดทำ Workshop และ ติดตามผล เยี่ยมชมแหล่งชุมชนและสถานที่ทำงานในระยะเวลา 3 สัปดาห์ ผลของการจัดทำ Workshop พบว่า ทฤษฎีนิเวศวิทยาส่งผลถึงความรุนแรงของผู้ชาย นั้นเป็นบ่อเกิดของปัญหา ซึ่งอ้างอิงได้ว่า ระบบสังคมขนาดเล็กมีพลังและตัวแปรที่มีอิทธิพลอยู่เสมอในความรุนแรงระดับครอบครัว ระบบย่อยที่เป็นส่วนประกอบในระบบสังคมหลักที่ประกอบด้วย ครอบครัว,ศาสนา,การเมือง , เศรษฐกิจ,สาธารณสุข, กฎหมาย, สื่อหรือข่าวสาร และการศึกษา รวมทั้งระบบย่อยอื่นๆ ที่เป็นความจำเป็นส่วนบุคคล ในระดับของสังคมทั้งมีรูปแบบและไม่มีรูปแบบ โดยใช้systemic approach ในการทดสอบกับระบบย่อยทั้งหลาย และ แกนของผู้มีอำนาจในระบบสังคมที่จะเข้าใจในวิธีการขับเคลื่อนทางสังคมเพื่อการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว
โดยสรุป จะเห็นได้ว่า การศึกษาความเสี่ยงของครอบครัวไทย จำเป็นจะต้องศึกษาทั้งช่วงก่อนการมีครอบครัว และระหว่างการมีครอบครัว ได้แก่ ความพร้อมในด้านวุฒิภาวะ การวางแผนในการมีครอบครัว ความมั่นคงในอาชีพที่สามารถทำให้ชีวิตครอบครัวดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และความสัมพันธ์ระหว่างที่ยังเป็นคู่รักกัน รวมทั้งการยอมรับของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งมีผลต่อการครองชีวิตคู่ต่อไปด้วย ถัดมาเป็นการดำรงชีวิตเมื่อมีครอบครัวแล้ว อันได้แก่ การทำกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกในครอบครัว ระดับความขัดแย้งและความรุนแรงในครอบครัว การเลี้ยงดูอบรมบุตรหลาน รวมทั้งการทำตัวเป็นแบบอย่าง และการปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม นอกจากนั้นปัจจัยด้านเศรษฐกิจก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตครอบครัว อันได้แก่ อาชีพ และความพอเพียงด้านรายได้รายจ่าย และการเก็บออมเพื่ออนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น