Lewis and Spanier (1979 : 450) กล่าวว่า คุณภาพชีวิตสมรสเป็นสิ่งที่มีความหมาย ครอบคลุมองค์ประกอบหลายอย่างที่แสดงถึงคุณค่า และการประเมินความสัมพันธ์ของการสมรส โดยประเมินในลักษณะที่เป็นความต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส คุณภาพชีวิตสมรสที่ดีเกี่ยวข้องกับการปรับตัวที่ดี การสื่อสารระหว่างคู่สมรสที่ดี มีความสุขในชีวิตสมรสสูง มีความพึงพอใจซึ่งกันและกัน มีความขัดแย้งต่ำ มีการประสานกันระหว่างคู่สมรสเป็นอย่างดี ซึ่งคุณภาพชีวิตสมรสในลักษณะดังกล่าวนี้ อาจจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์ของคู่สมรสว่า จะสามารถแสดงออกกันได้ดีเพียงใด และขึ้นอยู่กับหน้าที่ของชีวิตสมรสว่า คู่สมรสจะปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของการเป็นสามีภรรยาได้มากน้อยเพียงใด
องค์ประกอบคุณภาพชีวิตสมรส
Lewis and Spanier (อ้างถึงใน บุญประคอง ภาณุรัตน์,2531:20-21) ได้เสนอแนวคิดของคุณภาพชีวิตสมรส ซึ่งมีองค์ประกอบต่อไปนี้
1) การปรับตัวในชีวิตสมรส(Marital adjustment) หมายถึง การที่คู่สมรสมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกัน และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและทำกิจกรรมร่วมกัน มีการแสดงออกให้เห็นความรักและความไว้วางใจต่อกัน รวมถึงการปรับตัวในเรื่องเพศรส
2) ความพึงพอใจในชีวิตสมรส(Marital satisfaction) หมายถึง ความรู้สึกที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและสบายใจในการใช้ชีวิตร่วมกันของคู่สมรส ที่มีต่อสถานการณ์ชีวิตสมรสในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและจิตวิทยา
3) ความสุขในชีวิตสมรส(Marital happiness) หมายถึง การที่คู่สมรสทั้งสองฝ่ายรู้สึกตรงกันว่า ตนเองและคู่สมรสอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มีความอบอุ่นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
4) ความขัดแย้งในชีวิตสมรส (Marital conflict) หมายถึง ความคิดหรือการแสดงออกของคู่สมรสในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่สามารถตกลงกันได้ เช่น การใช้อำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ การคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ การโต้แย้ง ตลอดจนถึงการทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน
5) การสื่อสารระหว่างคู่สมรส(Marital communication) หมายถึง การที่คู่สมรสได้พูดคุยปรึกษาหารือ หรือทำความเข้าใจซึ่งกันและกันในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงการแสดงออกโดยไม่ใช้ภาษาพูด เช่น การแสดงสีหน้า ท่าทาง แววตา และมีความเชื่อมโยงกับการมีความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจกัน
6) การผสมผสานในชีวิตสมรส (Marital integration) หมายถึง การรวมหน่วยที่แยกกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นสิ่งที่รวมกันขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างไปจากผลรวม ซึ่งเกิดจากการบวกเอาส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น กลุ่มที่มีความสามัคคีร่วมมือกันเป็นอย่างดี เรียกว่า มีการบูรณาการรวมหน่วยสูง ย่อมจะทำงานได้ผลรวมทั้งหมดมากกว่าผลรวมของงานที่สมาชิกแยกกันทำ
ฉันทนา วุฒิไกรจำรัส (2546:6-10) กล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อความสัมพันธ์ของครอบครัว แบ่งเป็นกลุ่มปัจจัย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปัจจัยด้านความพึงพอใจวิถีชีวิตของคู่สมรส และกลุ่มปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
กลุ่มปัจจัยด้านความพึงพอใจ ในชีวิตของคู่สมรสเป็นปัจจัยด้าน ความพึงพอใจในวิถีชีวิตของคู่สมรส ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตสมรส ได้แก่ สถานภาพทางเศรษฐกิจและอิทธิพลของสังคมรอบตัว ดังนี้
สถานภาพทางเศรษฐกิจของคู่สมรสส่วนใหญ่จะ หมายถึง รายได้ของครอบครัว ซึ่งน่าจะเป็นรายได้รวมทั้งสามีภรรยาและเป็นรายได้ที่นำมาใช้จ่าย เพื่อทำให้ครอบครัวมีความสุขมีความมั่นคง การวัดรายได้ของคู่สมรสนี้อาจจะไม่ได้หมายถึง ความมากน้อยของจำนวนเงินที่รับ
อิทธิพลของสังคมรอบตัว ซึ่งสังคมรอบตัวของคู่สมรส ได้แก่ ญาติ เพื่อน รวมไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ฯลฯ หากกลุ่มคนเหล่านี้ให้การยอมรับค่าของความเป็นสามีภรรยาเป็นอย่างดี ยอมรับว่าเป็นคู่สมรสที่เหมาะสม หรือยอมรับบุคคลทั้งคู่ไม่รังเกียจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ย่อมทำให้คู่สมรสมีความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้ หรือการที่คู่สมรสมีโอกาสร่วมกิจกรรมในชุมชนมาก(หมายถึงการที่ทั้งคู่ได้รับการยอมรับจากชุมชน) จะทำให้คู่สมรสมีความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้เช่นกัน
กลุ่มปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิต ที่เป็นกลุ่มปัจจัยที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส เนื่องจากชีวิตสมรสคือการเริ่มต้นชีวิตของคนสองคน ปฏิสัมพันธ์ในแง่บวกระหว่างทั้งสองมีมากเท่าใด ความมั่นคงในชีวิตสมรสก็มีมากเท่านั้น ในทางกลับกันหากคู่สมรสมีปฏิสัมพันธ์กันไม่ดี การอยู่ร่วมกันย่อมไม่ราบรื่น แม้มีปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมหรือเอื้ออำนวยให้คู่สมรสได้อยู่รวมกันอย่างดีเพียงใดก็ตาม สิ่งที่ตามมาอาจจะ เป็นความจำยอม ในการอยู่ด้วยกัน หรือในที่สุดอาจจะถึงกับแยกทางกันเดินก็ได้
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของคู่สมรส สามารถดูได้จากการแสดงออก หรือผลของปฏิสัมพันธ์ ในหลาย ๆแง่มุม เช่น การยอมรับกันและกันในทุกๆ ด้าน(สรีระร่างกาย จิตใจ เพศสัมพันธ์ ฯลฯ) ความสนิทเสน่ห์หาที่มีต่อกัน การสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ การมีบทบาทที่สอดคล้องกัน(ความสมานฉันท์ทางบทบาท) และการมีความสัมพันธ์กัน แบบเพื่อนคู่ชีวิต ซึ่งรายละเอียดของผลของปฏิสัมพันธ์เหล่านั้น มีดังนี้
1) การยอมรับกันและกัน เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของการที่คู่สมรสจะอยู่ด้วยกันได้ เพราะการสมรสย่อม หมายถึงการต้องการใช้ชีวิตร่วมกันตลอดชีวิต ต้องเห็นหน้ากันทุกวันต้องมีกิจกรรมร่วมกัน ต้องปรึกษาหารือกัน แก้ปัญหาร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การยอมรับกันในแง่มุมทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน โดยไม่มีความขัดแย้งทางความคิดและอารมณ์ ไม่รำคาญกัน ไม่เบื่อกัน ไม่ดูถูกกัน ไม่เกลียดกัน ลักษณะการยอมรับกันและกันได้ มีตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น การมองอีกฝ่ายในแง่ดี พอใจในคู่ชีวิตทั้งรูปร่างหน้าตา สติปัญญา ความคิดเห็นและจิตใจ ซึ่งจะทำให้ทั้งคู่สื่อสารกันได้อย่างราบรื่น แม้ต่อการตอบสนองทางเพศสัมพันธ์ที่คู่สมรสมอบให้ ยอมรับในตัวตนรวมไปถึงค่านิยมต่าง ๆ ของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นต้น
2) ความสนิทเสน่หาต่อกันเป็นปัจจัยด้านอารมณ์ ที่จะทำให้คู่สมรสรู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นเรื่องของการแสดงออกซึ่งความรักใคร่ ความต้องการทางเพศและรสนิยมทางเพศที่สอดคล้องกัน มีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ร่วมกันรวมไปถึงการสนับสนุนส่งเสริมเป็นที่พึ่งทางใจ มีความเสมอภาคกัน (ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบหรือการกดขี่ทางเพศ) ขณะเดียวกันก็ไม่ละเมิดสิทธิส่วนตัวของกันและกัน ให้เกียรติกัน เคียงข้างกันออกสังคม ให้สังคมยอมรับและชื่นชมในการเคียงคู่กันของทั้งสอง ฯลฯ
3) การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การที่คู่สมรสสื่อสารกันได้มีความเข้าใจกัน พูดคุยกันในเรื่องหลากหลาย มีเวลาพูดคุยกันและที่สำคัญ คือ เห็นความสำคัญของการพูดคุยกัน
การมีบทบาทที่สอดคล้องกันหรือความสมานฉันท์ทางบทบาท หมายถึง ความเห็นที่สอดคล้องกันระหว่างสามีภรรยา ว่าใครควรจะมีบทบาทใด ซึ่งครอบคลุมการแสดงออกต่าง ๆ เช่น การสามารถตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด การทำหน้าที่ตามควรแห่งบทบาทของตน (การเป็นสามีภรรยา เป็นหัวหน้าครอบครัว ดูแลรักษาบ้านทรัพย์สินฯลฯ) ได้อย่างดี และทำบทบาทได้ใกล้เคียงกับบทบาทที่คาดหวังให้ได้มากที่สุด แบ่งบทบาทกันทำอย่างยุติธรรม (ร่วมกันรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ การทำงานบ้าน การเลี้ยงดูลูก เป็นผู้เลี้ยงดูลูก อบรมสั่งสอน แม้แต่การลงโทษลูก ฯลฯ) การมีบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกัน มีการปรองดองกันสูง ฯลฯ
4) การมีความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ในการเป็นเพื่อนคู่ชีวิต หมายถึง การที่คู่สมรส มีการพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในแง่อารมณ์และความคิด มีการทำกิจกรรมร่วมกันมีการไปไหนมาไหนด้วยกันและร่วมกันแก้ปัญหาของครอบครัว อาจรวมถึงมีการไปวัดด้วยกันด้วย ดังนั้น แนวคิดทางการศึกษาคู่สมรสไทยจึงน่ารวมไปถึงการมีความสอดคล้องกันในแง่การนับถือศาสนา การปฏิบัติตนตามแนวทางศาสนาร่วมกันเช่น ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ยึดหลักฆราวาสธรรมรวมไปจนถึงการทำบุญไปวัด ฯลฯ ด้วยกัน
การวัดความเป็นเพื่อนคู่ชีวิต ครอบคลุมการวัดกิจกรรมของการพูดคุยกัน การเข้าใจและยอมรับในกันและกัน การไปเยี่ยมเพื่อนฝูงด้วยกัน หรือไปพักผ่อนด้วยกัน เป็นต้น
7. ความมั่นคงในชีวิตสมรส (Marital Stability) [top]
ความมั่นคงในชีวิตสมรส เป็นเป้าหมายชีวิตสมรสประการหนึ่ง ซึ่งหมายถึง การที่ชีวิตสมรสดำเนินต่อไปได้และชีวิตสมรสจะสิ้นสุดต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต ส่วนชีวิตสมรสที่ไม่มั่นคงจะสิ้นสุดด้วยการกระทำอย่างจงใจ โดยคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย ในการที่จะแยกกัน หรือหย่าร้างกัน (Lewis and Spanier, 1979:269)
นอกจากนี้ยังมี Levinger (1979:36) กล่าวถึง “ความมั่นคงในชีวิตสมรส” ว่าเป็นชีวิตสมรสที่ดำเนินไปอย่างปกติ ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างคู่สมรส ตรงข้ามกับ “ความไม่มั่นคงในชีวิตสมรส” เป็นลักษณะที่แสดงว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในชีวิตสมรสซึ่งอาจเกิดขึ้นในลักษณะที่เป็น “รูปแบบ”หรือ “ ไม่เป็นรูปแบบ” ตามกฎเกณฑ์ของสังคม กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การสมรสที่มั่นคงจะมีการสิ้นสุดก็ต่อเมื่อเกิดการตายโดยธรรมชาติของคู่สมรส แต่การสมรสที่ไม่มั่นคงเป็นการจบชีวิตสมรส โดยการจงใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ การแยกกันอยู่จัดเป็นการเลิกกันแบบไม่เป็นทางการ ส่วนการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ การแยกกันอยู่จัดเป็นการเลิกกันแบบไม่เป็นทางการ ส่วนการหย่าร้างกันตามกฎหมายและการละทิ้งจากไปของคู่สมรส จัดเป็นการเลิกกันแบบเป็นทางการ ดังนั้นจึงจำแนกในรูปแบบความมั่นคงในชีวิตสมรสตามกฎเกณฑ์ของสังคมได้ 2 ประการ คือ เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ดังรายละเอียดดังต่อไปนี้
ความมั่นคง
รูปแบบ
|
สมบูรณ์แบบ(มั่นคง)
|
ไม่สมบูรณ์แบบ(ไม่มั่นคง)
|
เป็นทางการ
|
แต่งงานกันตามกฎหมาย
|
แยกกันตามกฎหมาย หย่าร้างเลิกกันตามกฎหมาย
|
ไม่เป็นทางการ
|
แต่งงานไม่เปิดเผย
|
การแยกกันโดยการตกลงอย่างไม่เป็นทางการการทอดทิ้ง
|
ที่มา : Levinger, 1979:36
Alan Booth and David Johnson (1983:387) ให้ความหมายของความไม่มั่นคงในชีวิตสมรสว่า เป็นคำที่อาจหมายถึงความล้มเหลวในชีวิตสมรส การหย่าร้าง การแตกแยกในชีวิตสมรส การมีคุณภาพชีวิตสมรสต่ำ และการทอดทิ้ง ซึ่งคำเหล่านี้มีความสัมพันธ์กัน แต่มีมโนทัศน์ต่างกันในบางกรณี เช่น ความล้มเหลวในชีวิตสมรส หมายถึง การหย่าร้างตามกฎหมาย หรือแยกทางกันอย่างถาวรตามความสมัครใจของคู่สมรส แต่ความล้มเหลวในอีกมโนทัศน์หนึ่งหมายถึง การจากกันโดยไม่สมัครใจ ซึ่งเกิดจากการตายหรือการทอดทิ้งไปของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
สรุปได้ว่า ความไม่มั่นคงในชีวิตสมรส มีความสัมพันธ์กับปัจจัย 3 กลุ่ม คือ ปัจจัยทางประชากร ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม และปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งผลกระทบของแต่ละปัจจัยที่มีต่อคู่สมรส ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของปัจเจกบุคคลและสังคม
ปัจจัยที่มีผลต่อความสัมพันธ์ของครอบครัว แบ่งเป็นกลุ่มปัจจัย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปัจจัยด้านความพึงพอใจในวิถีชีวิตของคู่สมรส และกลุ่มปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส ฉันทนา วุฒิไกรจำรัส (2544: 6-10) มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) ปัจจัยด้านความพึงพอใจในชีวิตของคู่สมรส ปัจจัยด้านความพึงพอใจในวิถีชีวิตของคู่สมรสที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตสมรส ได้แก่ สถานภาพทางเศรษฐกิจ การทำงานนอกบ้านของภรรยา ลักษณะโครงสร้างของครอบครัวและการที่บุคคลอื่น ๆ อาศัยอยู่ด้วยกัน และอิทธิพลของสังคมรอบตัว ดังนี้
- สถานภาพทางเศรษฐกิจ สถานภาพทางเศรษฐกิจของคู่สมรสส่วนใหญ่จะหมายถึง รายได้ของครอบครัว ซึ่งน่าจะเป็นรายได้รวมของทั้งสามีและภรรยา และเป็นรายได้ที่นำมาใช้จ่ายเพื่อทำให้ครอบครัวมีความสุข มีความมั่นคง การวัดรายได้ของคู่สมรสนี้อาจจะไม่ได้หมายถึงความมากน้อยของจำนวนเงินที่ได้รับ
- แบบอย่างจากบิดามารดาของคู่สมรส แบบอย่างจากบิดามารดาของคู่สมรส หมายถึง การที่คู่สมรสได้สัมผัสกับคุณภาพชีวิตสมรสของบิดามารดา และมีความประทับใจในบทบาทของพ่อและแม่ที่ตนได้เห็นมา บทบาทที่ฝ่ายชายควรได้เห็น คือ การที่พ่อของตนมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว เป็นผู้นำหรือฝ่ายหญิงจะได้เห็นคือ ความรับผิดชอบในการดูแลครอบครัว เข้มแข็ง เป็นกำลังใจให้แก่หัวหน้าครอบครัว ได้เห็นความรักใคร่ ผูกพัน อดทน ประนีประนอมกันระหว่างการใช้ชีวิตร่วมกัน ได้เห็นการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของครอบครัว ฯลฯ การที่ทั้งชายหญิงได้เห็นบทบาทที่เหมาะที่พ่อแม่ของตนกระทำต่อหน้าที่ในครอบครัวทั้งคู่ย่อมจะยึดมาเป็นแบบอย่าง ทั้งในการคัดเลือกคนที่เหมาะสมมาเป็นคู่ชีวิตและการที่ตนจะได้ทำบทบาทหน้าที่นั้นๆ เมื่อถึงเวลาที่ตนมีชีวิตสมรสด้วย
- การสนับสนุนจากบุคคลนัยสำคัญ การสนับสนุนจากบุคคลนัยสำคัญ หมายถึง การที่คู่สมรสได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากพ่อแม่แต่ละฝ่ายรวมไปถึงเครือญาติ หรือแม้แต่เพื่อนฝูง คนใกล้ชิดอื่น ๆการที่บุคคลจะตัดสินใจเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ครอง หากมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้าง หรือส่วนใหญ่แสดงความไม่เห็นด้วย บุคคลนั้นย่อมเกิดความไม่แน่ใจ ไม่อบอุ่นใจ หากตัดสินใจเลือกคนดังกล่าวเป็นคู่ครองแล้ว พบว่าจะมีปัญหาภายหลัง อาจจะทำให้เกิดการโทษตนเองที่ไม่ฟังความคิดเห็นจากครอบครัว หรือแม้แต่คู่สมรสที่สามารถคู่ครองคู่อยู่กันไปได้แต่กลับห่างเหิน หรือยังแสดงการไม่ยอมรับ ส่งผลให้คู่สมรสอาจเกิดความเครียด นำมาสู่ปัญหาการปรับตัวตามมาได้เช่นกัน
- การทำงานนอกบ้านของภรรยา ในอดีตผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่นิยมหรือไม่มีความจำเป็นต้องทำงานนอกบ้าน ภาระในการหารายได้เพื่อนำมาเลี้ยงครอบครัวเป็นหน้าที่ของสามี ความคิดความเชื่อว่าผู้ชายเป็นผู้ทำงานนอกบ้านนี้มีมานาน แม้ในปัจจุบันการที่ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้านนับเป็นเรื่องปกติ อันเนื่องมาจากผู้หญิงมีการพัฒนาศักยภาพของตนเองมากขึ้น จนเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไปแม้กระทั่งสามีก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้ แต่การที่ผู้หญิงต้องออกไปทำงานนอกบ้าน มีผลกระทบมาถึงครอบครัวบางประการ เพราะอย่างไรก็ตาม ผู้หญิงก็ยังถูกคาดหวังว่าจะต้องทำหน้าที่ดูแลบ้านเลี้ยงดูลูก ดูความเรียบร้อยในบ้านรวมไปถึงอาหารการกินด้วย เช่น เมื่อผู้หญิงต้องออกไปทำงานนอกบ้านภาระในบ้านย่อมถูกกระทบกระเทือนไม่มากก็น้อย เช่น บ้านและลูกอาจถูกปล่อยปละละเลยไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยเป็นสองเท่า ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเครียด เกิดการกระทบกระทั่ง ขัดแย้งกับคู่สมรสได้
- โครงสร้างครอบครัว ลักษณะโครงสร้างครอบครัว หมายถึง จำนวนที่อาศัยในครอบครัว โดยเน้นเฉพาะที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่ควรจะเป็นบุคคลที่เป็นเครือญาติ หรือญาติผู้ใหญ่ นักวิชาการด้านครอบครัวศึกษา ได้เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย ของครอบครัวที่ขนาดต่างกันได้ว่าครอบครัวขนาดเล็กหรือครอบครัวเดี่ยวที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก มีข้อดี คือ สมาชิกในครอบครัวมีความใกล้ชิดกัน สามีภรรยามีอิสระที่จะตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัวเอง ฯลฯ แต่มีข้อเสีย คือ มีความว้าเหว่ขาดความอบอุ่นเมื่อมีความขัดแย้งในครอบครัวหรือยามมีปัญหา จะขาดญาติพี่น้องที่จะมาช่วยเหลือหรือไกล่เกลี่ย ประนีประนอม ขณะที่ในครอบครัวที่มีญาติมาอาศัยอยู่ด้วยสามีภรรยา จะขาดอิสระในการตัดสินใจ หรือกระทั่งการแสดงออกซึ่งความรักใคร่ผูกพัน แต่ในครอบครัวใหญ่ สามีภรรยาจะมีผู้ช่วยแบ่งเบาภาระบางอย่าง เช่น ดูแลบ้าน เลี้ยงลูก และเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งกันอาจจะลดความรุนแรงได้ด้วยความเกรงใจผู้ใหญ่ในบ้าน
- อิทธิพลของสังคมรอบตัว สังคมรอบตัวของคู่สมรส ได้แก่ ญาติ เพื่อน รวมไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ฯลฯ หากกลุ่มคนเหล่านี้ให้การยอมรับคู่สามีภรรยาเป็นอย่างดี ยอมรับว่าเป็นคู่สมรสที่เหมาะสม หรือยอมรับบุคคลทั้งคู่ ไม่รังเกียจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ย่อมทำให้คู่สมรสมีความ พึงพอใจในชีวิตสมรสได้ หรือการที่คู่สมรสได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมในชุมชนมาก (หมายถึง การที่ทั้งคู่ได้รับการยอมรับจากชุมชน) จะทำให้คู่สมรสมีความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้เช่นกัน
2) ปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตที่เป็นกลุ่มปัจจัยที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส เนื่องจากชีวิตสมรส คือ การใช้ชีวิตคู่ของคนสองคน ปฏิสัมพันธ์ในแง่บวกระหว่างทั้งสองมีมากเท่าใด ความมั่นคงในชีวิตสมรสก็มีมากเท่านั้น ในทางกลับกันหากคู่สมรสมีปฏิสัมพันธ์กันไม่ดี การอยู่ร่วมกันย่อมไม่ราบรื่น แม้มีปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมหรือเอื้ออำนวยให้คู่สมรสได้อยู่ร่วมกันอย่างดีเพียงใดก็ตาม สิ่งที่ตามมาอาจจะเป็นความจำยอมในการอยู่ด้วยกันหรือในที่สุดอาจจะถึงกับแยกทางกันเดินก็ได้
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของคู่สมรสสามารถดูได้จากการแสดงออกหรือผลของการปฏิสัมพันธ์ในหลาย ๆ แง่มุม เช่น การยอมรับกันและกันในทุกๆ ด้าน (สรีระร่างกาย จิตใจ เพศสัมพันธ์ ความเชื่อ ค่านิยม ฯลฯ) ความสนิทเสน่หาที่มีต่อกัน การสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ การมีบทบาทที่สอดคล้อง(ความสมานฉันท์ทางบทบาท) และการมีความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนคู่ชีวิตซึ่งรายละเอียดของปฏิสัมพันธ์เหล่านั้น มีดังนี้
- การยอมรับกันและกัน เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของการที่คู่สมรสจะอยู่ด้วยกันได้ เพราะการสมรสย่อมหมายถึงการต้องใช้ชีวิตร่วมกันตลอดชีวิต ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน ต้องมีกิจกรรมร่วมกัน ต้องปรึกษาหารือกัน แก้ปัญหาร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การยอมรับกันในแง่มุมทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน โดยไม่มีความขัดแย้งทางความคิดและอารมณ์ ไม่รำคาญกัน ไม่เบื่อกัน ไม่ดูถูกกัน ไม่เกลียดกัน ลักษณะการยอมรับกันและกัน มีตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น การมองอีกฝ่ายหนึ่งในแง่ดี พอใจในคู่ชีวิตทั้งรูปร่างหน้าตา สติปัญหา ความคิดเห็นและจิตใจ ซึ่งจะทำให้ทั้งคู่สื่อสารกันได้อย่างราบรื่น แม้การตอบสนองทางเพศสัมพันธ์ที่คู่สมรสมอบให้ ยอมรับในตัวตนรวมไปถึงค่านิยมต่าง ๆของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นต้น
- ความสนิทเสน่หาต่อกัน ความสนิทเสน่หาต่อกันเป็นปัจจัยด้านอารมณ์ที่จะทำให้คู่สมรสรู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นเรื่องของการแสดงออกซึ่งความรักใคร่ ความต้องการทางเพศและรสนิยมทางเพศที่สอดคล้องกัน มีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ร่วมกัน รวมไปถึงการสนับสนุนส่งเสริมเป็นที่พึ่งทางใจ มีความเสมอภาคกัน (ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบหรือกดขี่ทางเพศ) ขณะเดียวกันก็ไม่ละเมิดสิทธิส่วนตัวของกันและกัน ให้เกียรติกัน เคียงข้างกันออกสังคม ให้สังคมยอมรับและชื่อชมในการเคียงคู่กันของทั้งสอง ฯลฯ
- การสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การที่คู่สมรสสื่อสารกันได้มีความเข้าใจกัน พูดคุยกันในเรื่องหลากหลาย มีเวลาพูดคุยกัน และที่สำคัญคือ เห็นความสำคัญของการพูดคุยกัน
- การมีบทบาทที่สอดคล้องกัน หรือความสมานฉันท์ทางบทบาท หมายถึง ความเห็นที่สอดคล้องกันระหว่างสามีภรรยาว่าใครควรจะมีบทบาทใด ซึ่งครอบคลุมการแสดงออกต่าง ๆ เช่น การสามารถตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด การทำหน้าที่ตามควรแห่งบทบาทของตน (การเป็นสามี ภรรยา เป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลรักษาบ้านทรัพย์สินฯลฯ) ได้อย่างดี และทำบทบาทได้ใกล้เคียงกับบทบาทที่คาดหวังให้ได้มากที่สุด แบ่งบทบาทกันทำอย่างยุติธรรม (ร่วมกันรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ การทำงานบ้าน การเลี้ยงลูก เป็นผู้เลี้ยงดูลูก อบรมสั่งสอน แม้แต่การลงโทษลูก ฯลฯ) การมีบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกัน มีการปรองดองกันสูง ฯลฯ
- การมีความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนคู่ชีวิต หมายถึง การที่คู่สมรสมีการพึ่งพาอาศัยกันและกันในแง่ของอารมณ์และความคิด มีการทำกิจกรรมร่วมกัน มีการไปไหนมาไหนด้วยกันและร่วมกันแก้ปัญหาของครอบครัว อาจรวมถึงมีการวัดความเป็นเพื่อนคู่ชีวิตครอบคลุมการวัดกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ เช่น การพูดคุยกัน การเข้าใจในกันและกัน การไปเยี่ยมเพื่อนฝูงด้วยกัน หรือไปพักผ่อนด้วยกัน เป็นต้น
ดังนั้นในแนวคิดทางการศึกษาคู่สมรสไทยจึงน่ารวมไปถึงการมีความสอดคล้องในแง่การนับถือศาสนา การปฏิบัติตนตามแนวทางศาสนาร่วมกัน เช่น ทำความดี ละเว้นความชั่ว ยึดหลักฆราวาสธรรม รวมไปจนถึงการทำบุญไปวัด ฯลฯ ด้วยกัน