วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

10 วิธีสร้าง "บ้านสุข" ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี


10 วิธีสร้าง "บ้านสุข" ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี 




       การที่พ่อแม่ทุกคนหวังไว้ว่า อยากให้ครอบครัวเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ลูกได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่อย่างที่เขาตั้งใจไว้ แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วความหวังกับความเป็นจริงอาจสวนทางกันเนื่องด้วยภาระที่ต้องรับผิดชอบทั้งหน้าที่การงานและหน้าที่พ่อแม่
      
       ทั้งนี้ การที่พ่อแม่จะสร้างครอบครัวให้อบอุ่นดังหวังนั้น เปรียบเสมือนของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับลูกเลยก็ว่าได้ เพราะหากพวกเขาอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น มีแต่ความรัก ความเข้าใจ เมื่อลูกโตขึ้น เขาก็จะมีแต่ความทรงจำที่ดีและมีแบบแผนปฏิบัติต่อไป
      
       ดังนั้นหากครอบครัวในวันนี้ยังมีความสุขไม่มากพอลองมาดูเคล็ดลับดีๆที่สามารถเพิ่มมวลความสุขให้ครอบครัวได้ง่ายๆ 10 วิธีดังนี้
      
       1. "หัวเราะ" ไปด้วยกัน
      
       เสียงหัวเราะคือวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้ทุกคนในครอบครัวได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ดังนั้นการที่ใครสักคนแบ่งปันเรื่องราวสนุกสนานน่าขำมาให้คนในบ้านได้หัวเราะไปพร้อมกัน หรือการนั่งดูรายการตลกในช่วงเวลาว่างด้วยกันทั้งครอบครัวก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
      
       2. "ขอบคุณ"กันและกัน
      
       หลายครั้งที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คนในครอบครัวอาจหลงลืมช่วงเวลาดีๆไปบ้าง ดังนั้นการที่เราไม่ลืมคำว่า "ขอบคุณ"และ"ขอโทษ" ก็ทำให้ความรู้สึกดีๆยังคงอยู่ต่อไป อย่าลืมว่า ความสุขของทุกคนในครอบครัวจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทุกคนเข้าใจกัน
      
       ดังนั้นนับเป็นโอกาสที่ดีหากพ่อแม่สอนลูก พี่สอนน้อง น้องมีน้ำใจต่อพี่ๆ ก็ควรใช้เวลาตรงนั้นกล่าวคำว่า "ขอบคุณ" ไปบ้าง เพราะมันไม่ใช่เรื่องน่าอับอายอะไรเลย
      
       3. "แบ่งปัน"ความสุขให้ลูกบ้าง
      
       ของขวัญจากพ่อแม่ที่วิเศษอีกอย่างหนึ่งคือการที่ทั้งสองแบ่งปันความรักให้ลูกได้เรียนรู้ว่า พ่อกับแม่รักกันมากแค่ไหน ขณะเดียวกันก็ควรสอนให้ลูกรู้จักรักแท้ที่พ่อมีให้แม่ ซึ่งการพูดให้ลูกรู้คงไม่สำคัญเท่ากับการแสดงออกให้ลูกเห็น และถ้าลูกรับรู้ได้ว่า พ่อกับแม่รักกันแค่ไหน พวกเขาก็จะมีความสุขและมองความรักในแง่ดีอีกด้วย
 
 
       4. "สุข" อย่างพอเพียง      
       บางครั้งปัญหาทางด้านการงานของแต่ละครอบครัว ก็เป็นตัวการสำคัญที่บั่นทอนความสุขได้มากทีเดียว ทั้งๆที่หลายคนอาจเถียงว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินและงานมากกว่าลูก แต่ ณ เวลานั้น หัวหน้าครอบครัวหลายคนอาจมองไม่เห็นตัวเอง จนทำให้สาเหตุของปัญหาด้านการเงินและความไม่รู้จักพอเป็นบ่อเกิดของปัญหาซึ่งพาลหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับลูก-เมียได้ง่ายมาก
      
       ทั้งนี้ ถ้าใครไม่อยากให้เงินมาเป็นตัวบ่อนทำลายความสุขของครอบครัว ก็ควรจัดระเบียบความคิดและเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า แค่ไม่เป็นหนี้ ไม่อยากมีอยากได้จนเกินตัว ครอบครัวก็สุขสมบูรณ์ได้ด้วยความพอเพียง อย่าไปดิ้นรนเพื่อวัตถุนอกกายเพียงแค่ให้เป็นหน้าเป็นตา ในขณะที่ครอบครัวกำลังจะพังอีกเลย
      
       5. "มารยาท" เพิ่มสุข
      
       บทบาทของพ่อแม่ที่สำคัญคือการสอนและดูแลเอาใจใส่ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เด็กส่วนใหญ่มักพลาดกันก็คือเรื่องมารยาท ดังนั้นหากพ่อแม่สอนให้ลูกรู้จักมารยาทโดยวิธีการที่ไม่ใช่การต่อว่าลูก ลูกก็จะรู้จักปรับปรุงและน้อมรับในสิ่งที่พ่อแม่สอน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าการที่พ่อแม่สอนลูก แล้วลูกนำไปปฏิบัตินั้น ก็คือความสุขที่พ่อแม่จะได้กลับมา ขณะที่ลูกๆเอง ถ้าเขามีมารยาทนอกจากคนในครอบครัวแล้ว สำหรับคนในสังคมเอง พวกเขาก็จะมีความสุขเพราะลูกของเราเช่นกัน
      
       6. "ปรับ"บ้านให้มีกฎ
      
       หลายครั้งที่พี่น้องอาจทะเลาะกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างการเล่นในบ้านหรือการพูดจายุแหย่ตามประสาเด็ก ซึ่งทำให้พ่อแม่หลายคนปวดหัวไปตามๆกัน
       ดังนั้นวิธีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ พ่อแม่ควรตั้งกฎระเบียบให้ลูกๆและเพื่อนๆที่จะมาเล่นในบ้านปฏิบัติตามกันอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งยังได้ฝึกระเบียบวินัยเด็กๆอีกด้วย
      
       
7. "เชื่อมั่น" กันและกัน      
       เด็กๆอาจมีความเชื่อมั่นในตัวเองค่อนข้างสูงกว่าผู้ใหญ่ พ่อแม่ก็ควรใหอิสระกับลูกในการตัดสินใจและเชื่อมั่นในตัวลูก แต่อิสระในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะอะไรก็ได้ไร้ขอบเขต ความเชื่อมั่นในที่นี้หมายถึงพ่อแม่ควรให้ลูกตัดสินใจเลือกในสิ่งที่พวกเขาอยากทำโดยอยู่ในสายตาของพ่อและแม่เพื่อให้เขาเรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านประสบการณ์ด้วยตนเอง ไม่ใช่บังคับลูกเสียทุกอย่าง เพราะหากเป็นเช่นนั้น นอกจากจะไม่มีความสุขแล้ว ครอบครัวอาจแตกแยกได้อีกด้วย


       8. "ชื่นชม" มากกว่าติเตียน
      
       การชื่นชมในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ต่อให้ลูกทำผิดก็บอกว่าไม่ผิด เข้าข้างลูกอย่างไม่มีเหตุผล แต่การชื่นชมที่พ่อแม่ควรทำคือการที่ประสบความสำเร็จหรือสามารถทำอะไรบางอย่างที่น่ายินดี พ่อแม่ก็ควรให้กำลังใจลูก แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม เพราะในที่สุดแล้ว เมื่อลูกได้รับกำลังใจจากพ่อแม่ เขาก็จะมีความสุข และเมื่อลูกมีความสุข พ่อแม่ก็จะพลอยสุขไปด้วย
      
       9. ลด "กังวล"
      
       คำนึงอยู่เสมอว่า ไม่ว่าจะเจอปัญหาหนักหนาแค่ไหน แต่คนในครอบครัวก็ยังคงเป็นกำลังใจและรออยู่ที่บ้านเสมอ ดังนั้นหากพ่อแม่เครียดจากการทำงาน ก็ไม่ควรเอาปัญหาไปที่บ้านด้วยเพราะจะทำให้บรรยากาศเสียเข้าไปใหญ่ ลองนึกดูว่า ถ้าลูกๆกำลังรอพ่อแม่กลับบ้านเพื่อนั่งทานข้าวเย็นพร้อมกัน แต่กลับต้องพบว่า พ่อหงุดหงิด เรื่องงาน แม่ก็มีปัญหาที่ไม่ได้ต่างกัน เด็กๆที่รอที่บ้านคงเสียใจและหงุดหงิดตามกันเป็นแน่
      
       ดังนั้น หากมีปัญหาอะไรก็ควรแยกแยะเวลางานและเวลาครอบครัวเท่าที่จะทำได้ ถ้าสิ่งไหนที่สามารถบอกเล่าและปรึกษากันและกันได้ก็ไม่ควรเก็บปัญหานั้นไว้คนเดียว เพราะทุกคนในครอบครัวไม่มีใครทิ้งใครได้แน่นอน ความกังวลจะลดลงได้ถ้ามีใครสักคนรับฟัง
      
       10. "ช่วยเหลือ" กันและกัน
      
       สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากที่กล่าวมานั้น การอยู่ร่วมกันเป็นทีมที่มีความสามัคคีกัน นับเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ดังนั้นการที่ครอบครัวพร้อมใจช่วยเหลือกันและกันเปรียบเสมือนเป็นทีมเดียวกัน แน่นอนว่าไม่ว่าจะเจออุปสรรคแบบใด ครอบครัวที่แข็งแรงแบบนี้ก้จะสามารถฝ่าฟันไปได้ด้วยดี และในที่สุด อุปสรรคต่างๆก็ไม่สามารถทำลายมวลความสุขของทุกคนในครอบครัวลงไปได้แม้แต่น้อย
      
       เคล็ดลับทั้ง 10 ข้อนี้ หลายคนอาจบอกว่าพูดง่าย คิดง่าย แต่ทำยาก ซึ่งหากลองเปลี่ยนทัศนคติว่า ทำยากแต่ก็ทำได้ เชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นกี่เคล็ดลับ ถ้าทุกคนอยากทำให้ครอบครัวมีสุข ก็สามารถทำได้โดยปราศจากข้ออ้างใดๆแน่นอน เพียงแค่ให้ทุกคนในบ้านร่วมมือกัน
     

บรรยากาศดีครอบครัวมีสุข

บรรยากาศดีครอบครัวมีสุข

ครอบครัวอบอุ่น มีบรรยากาศในการอยู่ร่วมกันดี มีการถ้อยที ถ้อยอาศัย ไม่เครียด เป็นลักษณะของครอบครัวในฝันที่ทุกคนปรารถนา ไม่เครียดเมื่ออยู่ร่วมกัน ทุกคนสามารถปรับตัวปรับใจให้ใกล้เคียงกัน เมื่อมีงานก็จะช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่เกี่ยงงอน หาโอกาสสร้างความสนุกสนานรื่นเริงในครอบครัวบ้าง

บรรยากาศเช่นนี้ทุกครอบครัวต่างต้องการและปรารถนา การสร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัวนั้นมีแนวทางดังนี้

1.ต้องปรับตัวให้เข้ากับทุกคนในครอบครัว พื้นฐานของคู่สมรสมาจากต่างครอบครัว ย่อมจะมีลักษณะนิสัย ค่านิยม ความคิดเห็นแตกต่างกัน เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นครอบครัวต้องปรับตัวปรับใจให้สอดคล้องกับสมาชิกในครอบครัว ทั้งคู่สมรส ญาติ พี่น้อง ต้องทำความเข้าใจกับสภาพของชีวิตสมรส จะทำตัวเหมือนกับตอนเป็นโสดไม่ได้ ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ทำสิ่งใดให้เป็นไปในลักษณะของการพบกันครึ่งทาง ต้องตระหนักว่าคนเราย่อมแตกต่างกันในความรู้สึก นิสัย ใจคอ และอาชีพการงาน จึงต้องทำความเข้าใจ ปรับความรู้สึกให้สอดคล้องกัน

2.สร้างแนวทางการทำงานร่วมให้เหมาะสม สมาชิกในครอบครัวต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบ แต่บทบาทที่รับผิดชอบย่อมแตกต่างกัน เช่น หน้าที่ของพ่อย่อมแตกต่างจากหน้าที่ของแม่ ทุกคนต้องปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์ ในส่วนปลีกย่อยของการงานในครอบครัวที่ต้องทำร่วมกัน อาจจะต้องหาแนวทางที่เหมาะสมด้วยวิธีการดังนี้

2.1 ร่างข้อตกลงหรือเงื่อนไขในการทำงานร่วมกันตามความถนัด ความชอบ ให้สอดคล้องกับลักษณะนิสัยและความสามารถของแต่ละคน

2.2 ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อตกลงตามที่ตกลงกันไว้ด้วยความเต็มใจ

2.3 มีการประเมินการทำงานร่วมกันเป็นระยะเพื่อปรับปรุง

2.4 ร่วมกันคิดหาแนวทางในการพัฒนางานให้เจริญก้าวหน้า

3.มีการจัดกิจกรรมนันทนาการในครอบครัว กิจกรรมนันทนาการจะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวได้พักผ่อน คลายเครียด ช่วยให้ความสัมพันธ์และบรรยากาศในครอบครัวดีขึ้น จึงควรจัดกิจกรรมนันทนาการในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเล่นกีฬา จัดสวนดอกไม้ รดน้ำต้นไม้ เดินทางไปพักผ่อนนอกสถานที่ตามโอกาสและตามความเหมาะสม เป็นต้น

4.จัดกิจกรรมตามวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความผูกพันในครอบครัว วัฒนธรรม ประเพณีไทยบางอย่างส่งเสริมความรัก ความสามัคคี ความผูกพันกลมเกลียวกันในครอบครัว เช่น ประเพณีสงกรานต์ทางภาคเหนือ มีการรดน้ำดำหัว พ่อแม่ ปู่ยา ตายาย หรือกิจกรรมพิธีการต่างๆ ทางศาสนาที่จะสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว และกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นผู้มีความเมตตา อ่อนน้อมก็ควรจะปฏิบัติให้สม่ำเสมอ จะช่วยให้บรรยากาศในครอบครัวดีขึ้น

การสร้างความสุขในชีวิตสมรส ชีวิตการครองเรือนให้เป็นครอบครัวอบอุ่น การเรียนรู้ศิลปะการครองคู่ สร้างความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นในครอบครัว สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคู่สมรสและสมาชิกในครอบครัว สร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัว จะช่วยให้ครอบครัวเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ครอบครัวมีความสุขได้.....

ครอบครัวมีสุข สุดโรแมนติก


ครอบครัวมีสุข สุดโรแมนติก



คู่รักที่มีบุตรแล้ว และแยกออกมาอยู่กันต่างหาก (ไม่ได้อยู่รวมกับคุณพ่อคุณแม่) ในวันหยุดสุดสัปดาห์ แทนที่จะไปเที่ยวกันเอง พ่อแม่ลูก ลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูค่ะ


บอกลูกๆ ของคุณว่า ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ พวกคุณจะกลับไปหาคุณปู่ ย่า หรือ คุณตา ยาย กัน ลูกๆ ของคุณนั้น หากได้ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ เขาจะมีจิตใจที่ดีค่ะ ไม่หยาบกระด้าง ระหว่างที่คุณพาลูกๆ กลับไป หาคุณพ่อ คุณแม่ของพวกคุณเองนั้น ก็เป็นการเยี่ยมเยียนท่านด้วย ไม่ให้ท่านเหงา และเป็นการปลูกฝังค่านิยมให้ลูกๆ ของคุณได้ซึมซับไปด้วยว่า การกลับมาหาพ่อแม่ เป็นเรื่องที่ดี และพ่อแม่ของพวกคุณเอง เวลาเห็นหลานๆ มาหา เชื่อได้เลยว่า จิตใจของแกก็สำหรับจะอิ่มเอม และที่สำคัญ คุณและแฟนของคุณก็ได้ใช้เวลาวันหยุดอันมีค่าไปกับครอบครัว ทั้งพ่อแม่ คุณเองและลูกๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวค่ะ แบบนี้ครอบครัวอบอุ่นแน่ๆ

สร้างครอบครัวอบอุ่น...สร้างภูมิคุ้มกันให้ครอบครัว


สร้างครอบครัวอบอุ่น...สร้างภูมิคุ้มกันให้ครอบครัว

เนื่องในเดือนแห่งการรณรงค์ลดความรุนแรง
แก่บุคคลในครอบครัว ในฐานะที่เป็นจิตแพทย์ 
ใคร่ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านได้หันมาให้ความสำคัญ
กับคนในครอบครัว 
เพื่อหลีกห่างจากความรุนแรงในครอบครัว 
และทำการสร้างภูมิคุ้มกันแก่สมาชิกในครอบครัว 
โดยแนวทางนี้จะก่อให้เกิดครอบครัวอบอุ่น

ครอบครัวอบอุ่น คือครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ การ มีครอบครัวที่อบอุ่นทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข คนที่มีครอบครัวอบอุ่นย่อมมีความได้เปรียบ เพราะสามารถ ทำหน้าที่ได้เหมาะสม และทำให้สมาชิกในครอบครัวมีสุขภาพจิตดีไปด้วย

นิยาม "ครอบครัวที่อบอุ่น"
๑. มีขอบเขตที่เหมาะสม ทั้งขอบเขตส่วนบุคคล และคนในครอบครัว
๒. มีความผูกพันทางอารมณ์ที่เหมาะสม ไม่ห่างเกิน ไป และไม่ใกล้ชิดกันเกินไป สมาชิกในครอบครัวมีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ยังคงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในครอบครัวได้
๓. มีการจัดลำดับอำนาจ และความเป็นผู้นำที่ชัดเจน
๔. สมาชิกมีบทบาทหน้าที่ชัดเจน และปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสอดคล้องกัน
๕. โครงสร้างและการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัวมีความยืดหยุ่นดีและเหมาะสม
๖. สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๗. มีการจัดระบบภายในครอบครัวอย่างมีประสิทธิ-ภาพ
๘. มีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
๙. มีเครือข่ายทางสังคมที่ดี และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว
๑๐. สมาชิกในครอบครัวใช้เวลาอยู่ร่วมกันตามสมควร

ความผูกพัน : ตัวแปรความอบอุ่นในครอบครัว
ครอบครัวจะมีแรงผลักดันอยู่ ๒ แรงที่ต่อสู้กันอยู่เสมอคือ แรงที่ดึงสมาชิกให้เข้าหากัน เป็นอันหนึ่งอันเดียว กัน ทั้งความคิด ความรู้สึก การกระทำ และแรงผลักดันที่ทำให้สมาชิกอยู่ห่างออกจากกัน เพื่อใช้ชีวิตอย่างอิสระและเป็นตัวของตัวเอง
แรงผลักดันทั้ง ๒ จะสมดุลกันในครอบครัวที่อบอุ่น แม้บางครั้งแรงผลักดันแบบหนึ่งอาจมากกว่าอีกแบบหนึ่ง แต่ก็จะเป็นอยู่ชั่วคราว และจะกลับคืนสู่สภาวะสมดุลในที่สุด โดยความผูกพันทางอารมณ์แบ่งได้เป็น ๒ ลักษณะคือ

ครอบครัวที่ผูกพันแน่นแฟ้นเกินไป 
เกิดขึ้นจากการที่สมาชิกในครอบครัวทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากที่เคยทำมา ก็จะเกิดความเครียดขึ้นมาในครอบ-ครัวทันที ความเครียดนี้อาจกระทบถึงความสัมพันธ์ และการปฏิบัติหน้าที่ด้านอื่นๆ ของครอบครัว เช่น ลูกทำใน สิ่งที่พ่อแม่ไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วย และให้ลูกตัดสินใจว่า จะทำตามใจตัวเอง หรือยอมทำตามที่พ่อแม่ต้องการ
ผลของความผูกพันที่มากเกินไปนั้น จะทำให้สมาชิกในครอบครัวไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ เช่น แม่ที่ผูกพันแน่นแฟ้นกับลูกมากเกินไป อาจทำให้พ่อห่างเหินไปโดยอัตโนมัติ โดยเด็กจะพึ่งแม่ไปโดยอัตโนมัติและไม่รู้จักโต

ครอบครัวที่เหินห่างทางอารมณ์
สำหรับครอบครัวที่ผูกพันระหว่างกันน้อย แม้สมาชิก ในครอบครัวจะมีอิสระมาก ก็จะเป็นความอิสระที่ไม่สมบูรณ์ เพราะขาดความรู้สึกเป็นส่วนตัวและความรู้สึกที่พึ่งพิงกันในยามจำเป็น นอกจากนี้ การที่ต่างคนต่างอยู่จะทำให้ไม่สามารถร่วมทำภารกิจที่สำคัญให้สำเร็จได้ เช่น ครอบครัวที่พ่อกับแม่ไม่มีความผูกพันใกล้ชิดกัน ย่อมไม่สามารถร่วมมือกันปกครองลูกได้
ความผูกพันทางอารมณ์ที่เหมาะสมที่สุดคือ ความผูกพันระดับกลาง เพราะคนในครอบครัวจะมีความเป็น อิสระ แต่ยังคงความผูกพันกับครอบครัวเดิมอยู่ ทั้งนี้ การจะมีครอบครัวที่อบอุ่นได้นั้น ครอบครัวจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างความเป็นอิสระและความผูกพันกับครอบครัว ได้อย่างเหมาะสม

ผู้นำในครอบครัว : บทบาทผู้สร้างความอบอุ่นในครอบครัว
ทุกครอบครัวต่างก็มีผู้นำในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่ความเป็นผู้นำไม่ควรถูกจำกัดให้อยู่กับ คนใดคนหนึ่ง เช่น พ่อแม่ไม่ควรเป็นผู้นำคนเดียว หรือ แม่ไม่ควรเป็นผู้นำคนเดียว เพราะหากครอบครัวต้องตกอยู่ในภาวะความตึงเครียด ผู้เป็นพ่อและแม่ต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และร่วมกันเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
จากการศึกษาครอบครัวของวัยรุ่นในประเทศแคนาดา พบว่า วัยรุ่นในครอบครัวที่พ่อเป็นผู้นำในแบบประชาธิป- ไตย จะมีความมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่พ่อหรือแม่มีอำนาจเพียงคนเดียว
ดังนั้น หากต้องการมีครอบครัวที่อบอุ่น สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวจะต้องมีบทบาทความเป็นผู้นำในวาระที่แตกต่างกันออกไป เช่น แม่จะเป็นผู้นำและเป็น ผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลครอบครัวและการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องอาหารการกินในบ้าน ส่วนพ่อจะเป็นผู้นำในเรื่องที่สำคัญ เช่น เรื่องภายนอกบ้าน และสมาชิก ในบ้านควรมีส่วนในการสนับสนุนความคิดของผู้นำในครอบครัว
เมื่อใดก็ตามที่เกิดปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว คนในครอบครัวจะต้องช่วยกันแก้ไขความขัดแย้งให้กลับคืน สู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด โดยสามารถแก้ไขความขัดแย้ง ได้ ๓ วิธีคือ
๑. การร่วมมือกัน โดยคนในครอบครัวต้องหันหน้าเข้าหากัน และพูดคุยถึงปัญหาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อหาข้อยุติที่เหมาะสม
๒. การยอมเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งยอมลงให้อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อเป็นการยุติความขัดแย้ง หรือเพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามออกไป
๓. การพยายามเอาชนะ เป็นการช่วงชิงอำนาจว่าใครจะเป็นใหญ่ ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ซึ่งไม่ทำให้ปัญหายุติได้ แต่จะทำให้สถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น เพราะการแก้ไขปัญหาด้วยการเอาชนะกันนั้นไม่ใช่วิธีการที่ได้ผล ยิ่งถ้ามีการดึงบุคคลที่ ๓ เข้ามาก็จะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาเป็นลูกโซ่

เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในครอบครัว เรามักจะดึงเอาบุคคลที่ ๓ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ความขัดแย้งโยงใยในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
๑. การทำให้เป็นแพะรับบาป เป็นความขัดแย้งที่เกิด จากบุคคล ๒ คน แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมา กลับเป็นการโยนบาปให้บุคคลที่ ๓ แทน เช่น พ่อกับแม่ ทะเลาะกัน แต่โยนความผิดให้ลูก ทำให้ดูเหมือนพ่อแม่ไม่มีปัญหากัน แต่แท้ที่จริงปัญหาความขัดแย้งยังคงอยู่
๒. การเข้าพวกกันแบบข้ามรุ่น เป็นวิธีที่พ่อหรือแม่ดึงลูกเข้ามาเป็นพวก เพื่อที่จะต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง โดยจะเลี้ยงลูกแบบตามใจ เพื่อให้ลูกมาเป็นพวกของตน ทำให้มีการสลับบทบาทหน้าที่กัน โดยแทนที่พ่อแม่จะมาดูแลลูก กลับเป็นลูกทำหน้าที่ดูแลพ่อแม่เสียเอง
๓. การร่วมมือกันเพื่อเอาใจใส่ลูก เป็นวิธีที่พ่อและแม่ต่างก็ร่วมมือให้ความสนใจ เพื่อแก้ไขปัญหาของลูก ทำ ให้ลืมปัญหาระหว่างกันไปชั่วขณะ โดยจะมองว่าลูกเป็น คนอ่อนแอ หรือเป็นเด็กไม่ดีที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด
๔. การแข่งขันระหว่างพ่อและแม่ โดยพ่อแม่ต่างก็ดึงลูกเข้ามาเป็นพวกของตน ทำให้ลูกเกิดความสับสนว่า จะเป็นพวกของพ่อดี หรือพวกของแม่ดี ไม่รู้ว่าจะจงรักภักดีกับใครดี
ครอบครัวที่พ่อแม่แก้ไขความขัดแย้งในลักษณะ ดังกล่าว จะทำให้เกิดผลเสียดังนี้
๑. การดึงเอาบุคคลที่ ๓ เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจทำให้ความรู้สึกของพ่อแม่ดีขึ้นบ้าง เพราะไม่ต้องแก้ไขปัญหา เอง แต่ก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขความขัดแย้งที่ถูกต้องและเหมาะสม
๒. พ่อแม่จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จะทำให้พ่อแม่ มีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง เพราะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากลูกมากเกินไป
๓. พัฒนาการของเด็กไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะแทนที่พ่อแม่จะเป็นคนดูแลเอาใจใส่ลูก กลับเป็นฝ่ายลูกต้องมาดูแลเอาใจใส่พ่อแม่แทน เด็กที่ถูกดึงเข้าไปโยงใยกับปัญหาจะทำให้ไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ดีพอ และไม่สามารถแยกตัวเองออกจากครอบครัวได้เมื่อถึงเวลา
๔. สูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อหรือแม่ เช่น แม่ที่เข้าพวกกับลูกสาวและกีดกันพ่อ จะทำให้ลูกสาวห่างเหินพ่อ และทำให้มีผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ของ เด็ก
หนทางที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวคือ การสื่อสาร เพราะการสื่อสารทำให้ครอบครัวมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่การสื่อสารที่ดีย่อมต้องอาศัยทักษะและความสามารถที่ดี เช่น การเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย การฟังผู้อื่น การพูดจาประคับประคองอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว 
ในทางกลับกัน การพูดจาตำหนิติเตียน หรือทำให้เกิดความรู้สึกในเชิงลบ จะยิ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกโกรธ เสียใจ ตึงเครียด ขัดแย้ง และนำมาซึ่งความรุนแรงในครอบครัวทั้งในด้านท่าที วาจา และการกระทำที่รุนแรงกับบุคคลอื่นในที่สุด

มุมมองนักจิตวิทยา
นักจิตวิทยาและจิตแพทย์เชื่อว่า ผู้ที่กระทำการรุนแรงส่วนใหญ่ มักมีพื้นฐานมาจากการที่อยู่ในครอบครัวแตกแยก มาจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่น และมาจากการที่ตนเคยตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงมาก่อน หรืออยู่ในเหตุการณ์ที่รู้เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้น 
โครงสร้างทางสังคมมีผลกระทบต่อคนและพฤติกรรม ของคนในสังคม เช่น สังคมที่มีค่านิยมยกย่องพ่อเป็นใหญ่ เป็นสังคมที่กำหนดและควบคุมกฎเกณฑ์โดยเพศชาย เช่น สังคมชาวเอเชียจะสร้างสมาชิก ผู้ชายŽ ที่แสดงบทบาททางเพศเชิงอำนาจนิยม ในขณะเดียวกันจะสร้าง ผู้หญิงŽ ให้เป็นฝ่ายเก็บกดและยอมตามมากกว่าสังคม ที่ถือว่าแม่เป็นใหญ่ และสังคมที่ถือว่าพ่อแม่เป็นใหญ่ เท่าเทียมกัน
นักจิตวิทยามองปัญหาความรุนแรงในครอบครัวว่า เป็นปัญหาที่ผู้กระทำการรุนแรงมีลักษณะบุคลิกภาพที่ผิดปกติเฉพาะบุคคล โดยให้เหตุผลว่า ผู้เป็นสามีในครอบครัวอื่นที่อยู่ภายใต้โครงสร้างสังคมในระดับชนชั้นเดียวกัน ได้รับการขัดเกลาจากวัฒนธรรมทางสังคมแบบเดียวกัน มิใช่จะกระทำรุนแรงต่อภรรยาเช่นเดียวกันทุกครอบครัว มีเพียงส่วนน้อยที่กระทำพฤติกรรมเช่นนี้

การสร้างความรักและความอบอุ่นในครอบครัวจะเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันให้ครอบครัวหลีกหนีและห่างไกลจากความรุนแรง และจะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมในที่สุด

ครอบครัว อบอุ่น ด้วยรัก....

ครอบครัว อบอุ่น ด้วยรัก
ครอบครัว สดใส เปี่ยมความหวัง
ครอบครัว เปี่ยมสุข งดงาม

น้องสาวคนหนึ่ง เกิดมาในครอบครัวที่พ่อจากไปตั้งแต่แม่ยังสาว และน้องๆ ของเธอยังเยาว์วัย

เป็นการจากไปอย่างกะทันหัน มิได้มีการเตรียมการ

ไม่ว่าจะเป็นในด้านของแม่ซึ่งเป็นภริยา ไม่ว่าจะเป็นในด้านของลูกๆ ซึ่งล้วนได้รับความอบอุ่นจากพ่อเป็นอย่างดี

ในเบื้องแรก ทุกคนจึงเกิดความเคว้งคว้างไม่แน่ใจ

แต่ภายในเวลาอันรวดเร็ว แม่ซึ่งเป็นคนทำงานหนักมาโดยตลอด ก็ปรับตัวได้ เป็นการปรับตัวโดยการดำรงสถานะ ที่ควบทั้งความเป็นแม่ และความเป็นพ่อไปด้วยในขณะเดียวกัน

น่ายินดีที่ลูกทุกคนสมองดี ขยันขันแข็งและเรียนเก่ง

ในฐานะลูกสาวคนโต เธอกับแม่จึงมีความเข้าใจกันอย่างเป็นเอกภาพ เข้าใจในความเสียสละของแม่ เข้าใจว่าตนเองต้องเสียสละเพื่อน้องอีกหลายคน

เข้าใจและตระหนักว่า ตนเองจะต้องเป็นเหมือนแม่คนที่ 2 ของน้องๆ

ความเข้าใจนี้ในเบื้องต้น เป็นเรื่องดี แต่ในท่ามกลางการเติบใหญ่ของเธอ และการร่วงโรยลงเป็นลำดับของแม่ ก็เกิดความแปรเปลี่ยนในทางความคิด กระทั่งกลายเป็นความขัดแย้ง

เป็นความขัดแย้งในลักษณะที่ช่วงชิงการนำภายในบ้าน

น่ายินดีที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นความขัดแย้งในหมู่พวกเดียวกัน เป็นความขัดแย้งที่ไม่มีลักษณะปรปักษ์ เป็นความขัดแย้งที่สามารถประนีประนอมกันได้

ทุกครั้งที่มีความขัดแย้งระหว่างน้องสาวคนนั้น ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตกับแม่เกิดขึ้น เพื่อนคนหนึ่งมักเสนอแนะให้เธอกลับไปง้อขอคืนดีกับแม่

คำพูดที่ติดปากก็คือ "โชคดีนะที่เธอยังมีแม่อยู่"

ที่พูดเช่นนี้ เพราะว่าเพื่อนคนนั้นเป็นกำพร้า แม่ของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว พ่อของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว

เพื่อนคนนั้น มีชีวิตอยู่อย่างแตกต่างไปจากน้องสาวคนนั้น เป็นอย่างมาก

มองจากพื้นฐานของเพื่อนคนนั้น การดำรงอยู่ของน้องสาวคนนั้น ย่อมอบอุ่นกว่า เพราะน้องสาวคนนั้นยังมีแม่อยู่

มีแม่อยู่อันเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร

อย่างน้อยเมื่อประสบปัญหาในชีวิต ไม่ว่าปัญหาในเรื่องส่วนตัว ในเรื่องการทำงาน ก็ยังมีแม่อยู่ที่บ้าน

แม่ที่พร้อมจะเปิดใจรับฟังปัญหาของลูก

แม่ที่พร้อมจะอ้าแขนโอบกอดให้ความอบอุ่น แม่ที่พร้อมจะเอ่ยปากให้กำลังใจลูก ให้ยืนหยัดต่อสู้ต่อไป

นี่ย่อมต่างไปจากคนที่เมื่อกลับบ้าน ไม่มีทั้งพ่อและแม่รออยู่

มีความว้าเหว่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อกลับไปถึงบ้าน แล้วไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่รออยู่

รออยู่และคอยถามว่า "เหนื่อยไหมลูก" รออยู่และคอยถามว่า "กินข้าวมาแล้วหรือยังลูก" รออยู่และเฝ้ามองด้วยความห่วงหาอาทร

คนที่มีพ่อมีแม่รออยู่ ย่อมไม่เข้าใจในสิ่งที่ขาดหายไป กระทั่งมองเห็นว่าไร้ค่า

ต่อเมื่อไม่มีทั้งพ่อ ต่อเมื่อไม่มีทั้งแม่ รออยู่ที่บ้านอีกนั่นแหละ จึงจะตระหนักในสภาพที่ขาดหายไป

และก็จะเริ่มถวิลหา อาวรณ์

เช่นนี้เอง กวีนิพนธ์ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ที่ว่า "อนิจจา น่าเสียดาย / ฉันทำชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง / ส่วนที่สูญนั้นลึกซึ้ง / มีน้ำผึ้งบุหงาลดามาลย์"

จึงทรงความหมาย

ความหมายในแง่ที่ว่า หากไม่เคยประสบกับความสูญเสีย ก็จะไม่รู้สึก นั่นก็คือ ไม่รู้สึกว่าในความสูญเสียนั้น เป็นเรื่องยิ่งใหญ่

เพราะในความสูญเสียนั้น คือ "น้ำผึ้งบุหงาลดามาลย์"

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้องสาวคนนั้น กับเพื่อนคนนั้นของเธอ กล่าวได้ว่า น้องสาวคนนั้นอยู่ในฐานะที่สมบูรณ์มากยิ่งกว่า เพราะไม่เพียงแต่จะมีแม่คอยให้ความอบอุ่น คอยเช็ดน้ำตาให้เท่านั้น

ที่สำคัญก็คือ เมื่อกลับถึงบ้านก็ยังมีแม่รออยู่

มือที่อ่อนโยนที่สุด ย่อมเป็นมือแห่งความรัก มือที่อบอุ่นที่สุด ย่อมเป็นมือแห่งความห่วงหาอาทร จากคนที่รักและห่วงหาอาทร

โลกนี้ไม่มืดอย่างแน่นอน หากยังมีคนที่รักเราอยู่โดยรอบ

โลกนี้มีความหวังแจ่มจรัสอย่างแน่นอน หากทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักในวงแคบ ภายในครอบครัว หรือความรักในวงกว้างต่อโลก และมนุษยชาติก็ตาม

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

เคล็ดลับง่ายๆที่จะทำให้ครอบครัวเรามีความสุข


15 เคล็ดลับสร้างความสุขในครอบครัว
เคล็ดลับ 1 : สนุกกับสิ่งต่างๆ
สิ่งสำคัญสำหรับครอบครัวสุขสันต์ก็คือ ปรับสภาพจิตใจ ยอมรับและทำใจให้เย็นเมื่อเปิดประตูก้าวเข้าบ้าน ไม่ว่าจะเจออะไรรออยู่ก็ยิ้มสู้เข้าไว้ พึงระลึกไว้เสมอว่า “เมื่อพ่อกลับมาบ้าน ลูกๆก็มีความสุข เช่นเดียวกัน เมื่อลูกๆกลับมาบ้าน พ่อแม่ก็มีความสุข”
เคล็ดลับ 2 : ถามไถ่เรื่องราว
เมื่อลูกๆกลับมาถึงบ้าน ถามพวกเขาบ้างว่า “วันนี้ที่โรงเรียนเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับลูกบ้าง?” ถ้าคุณกลับมาบ้านอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่สนใจ แล้ว 5 นาทีต่อมาก็ไปอยู่หน้าทีวี นั่นน่ะคนในครอบครัวจะมีความสุขเมื่อเห็นคุณได้อย่างไร?
เคล็ดลับ 3 : การแต่งงานเป็นอันดับ 1
ความสัมพันธ์และการแต่งงานต้องมาเป็นอันดับ 1 จริงอยู่หากมีลูกแล้ว พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญกับลูกเป็นที่สุด แต่ก็อย่าลืมที่จะหาเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองบ้าง มิเช่นนั้นความห่างเหินจะเข้ามาเยือนได้
เคล็ดลับ 4 : ทานอาหารด้วยกัน
ควรมีเวลาได้ทานอาหารร่วมกันทั้งครอบครัว เพราะ “มันคือช่วงเวลาแห่งการเชื่อมความสัมพันธ์” ดินเนอร์ในครอบครัวเป็นสิ่งจำเป็น ทานมื้อเย็นกับครอบครัวอย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์จะเป็นเรื่องที่ดีมาก
เคล็ดลับ 5 : ทำกิจกรรมร่วมกัน
ทำกิจกรรมร่วมกันทั้งครอบครัวสัก 1 หรือ 2 กิจกรรม โดยเฉพาะตอนกลางคืน เข้าไปเข้าไปพูดคุย หรือเล่านิทานให้ลูกฟัง จะเป็นเรื่องดีไม่น้อย
เคล็ดลับ 6 : ครอบครัวมาก่อนเพื่อน
ครอบครัวที่มีความสุข นั่นคือเราจะนึกถึงครอบครัวก่อนเพื่อน มิตรภาพเป็นเรื่องสำคัญ แต่ยังไงก็ต้องวางตำแหน่งให้อยู่ต่ำกว่าครอบครัว
เคล็ดลับ 7 : วางลิมิตกิจกรรมของลูกหลังเลิกเรียน
ทุกวันนี้กิจกรรมของเด็กๆหลังเลิกเรียนค่อนข้างมากเกินไป ลูกๆจะไม่ค่อยอยู่บ้านในเวลาเดียวกันกับพ่อแม่ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่มีเวลาทานข้าวเพื่อสานสัมพันธ์ความสุขในครอบครัว “ถ้าเด็กๆโตขึ้นโดยไม่รู้ว่าบัลเล่ต์เต้นยังไง พวกเขาก็ไม่เป็นไรหรอก” การได้ทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนของลูกด้วยกันทั้งครอบครัวจะดีที่สุด
เคล็ดลับ 8 : ปฎิบัติกิจกรรมทางศาสนาด้วยกัน
พาลูกสวดมนต์ก่อนนอน ไปทำบุญตักบาตร และปฏิบัติธรรม นอกจากจะสร้างแสงสว่างในครอบครัวแล้ว ยังเป็นการนำทางที่ถูกต้องที่ควรให้กับบุตรหลานด้วย
เคล็ดลับ 9 : ข่มเสียงให้เบาลงบ้าง
จำไว้เลยว่า เด็กจะเติบโตอย่างมีคุณภาพได้ ขึ้นอยู่กับความสงบสุขในครอบครัว พูดคุยกับลูก สร้างกฎอันเข้มงวด และทำโทษเมื่อเขาทำผิด อย่าหละหลวมในการควบคุมลูก และที่สำคัญอย่าตะโกนใส่เขา ถ้าคุณตะโกนใส่ลูก เขาจะทำตัวแหกคอกออกนอกกรอบของพ่อแม่ทันที
เคล็ดลับ 10 : อย่าทะเลาะกันต่อหน้าลูก
ชีวิตคู่เหมือนลิ้นกับฟัน ย่อมมีกระทบกระทั่งกันแน่นอน แต่ควรเถียงหรือทะเลาะกันให้ห่างจากต่อหน้าลูก อย่างไรก็ตามถ้าลูกเห็นคุณทะเลาะหรือลงไม้ลงมือกัน ให้คุณพูดกับลูกว่า “พ่อแม่เสียใจที่ทำให้ลูกเห็นเรื่องแบบนั้น พ่อกับแม่อาจจะมีเรื่องขัดแย้งกันบ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างโอเคแล้ว”
เคล็ดลับ 11 : อย่าทำงานหนักจนเกินไป
การทำแต่งานโดยไม่มีเวลาเล่นสนุกกับครอบครัวเลย จะทำให้ทุกสิ่งเลวร้าย ถ้าคุณไม่มีเวลาให้กับลูกเลย เด็กจะรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่าตัวเองไม่มีค่า
เคล็ดลับ 12 : สร้างเสริมความสามัคคีระหว่างพี่น้อง
สอนให้ลูกๆรักพี่รักน้องและรู้จักการแบ่งปัน โดยคุยกับเขาว่า “ในอนาคตเมื่อพวกเขามีลูกแล้วทะเลาะไม่สามัคคีกันมันจะเป็นอย่างไร”
เคล็ดลับ 13 : มีเรื่องขำขันในครอบครัว
ครอบครัวที่มีความสุขจะมีเรื่องขำขันเฉพาะในครอบครัว อย่างเช่นการตั้งชื่อเล่นเป็นสัญลักษณ์ เมื่อเรียกชื่อนั้นแล้วสามารถหัวเราะกันได้ทั้งบ้าน
เคล็ดลับ 14 : ปรับตัวรับทุกสถานการณ์
นี่เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ ทุกครอบครัวย่อมมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสมาชิกและอายุ บางคนแต่งงานออกไป บางคนตาย บางคนเกิดใหม่ บางคนโตขึ้น แต่เราก็จะผ่านมันไปได้ด้วย “ครอบครัว”
เคล็ดลับ 15 : พูดคุยสื่อสารกัน
ครอบครัวที่พูดคุยกันจะมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ปัจจุบันการสื่อสารพูดคุยในครอบครัวเริ่มน้อยลง บางคนอาศัยการส่งแมสเสจหาพ่อแม่ แต่ครอบครัวจะมีความสุขได้ “สมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องเป็นหนึ่งเดียว และเปิดใจพูดคุยกัน”

สำหรับผลวิจัยของต่างประเทศ


  Gaspar Pereira, Hilda Maria จากมหาวิทยาลัย Hokusei Gakuen University ได้ทำการศึกษาเรื่อง ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวชาวญี่ปุ่น (Japanese Family Filial) พบว่า ความขัดแย้งภายในครอบครัวของชาวญี่ปุ่นนั้น ได้รับการพิจารณาว่าเป็นความรุนแรงในกลุ่มอันดับแรกๆ ประเภทของความรุนแรงภายในครอบครัวในประเทศญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งในปัญหาหลักในสังคมญี่ปุ่นมาตั้งแต่ช่วงแรกของปี 1970 รูปแบบของความรุนแรงภายในครอบครัว จะเป็นลักษณะลูกต่อต้านพ่อแม่ ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับต่อความกดดันจากความเป็นพ่อแม่คือ การประสบความสำเร็จในการศึกษาของลูก  แม่เป็นตัวแทนที่ตกเป็นเหยื่อหลักผู้ที่ได้รับความทุกข์จากการกระทำที่สุด คือ ความรุนแรงจากลูกชาย  ระบบการศึกษาที่แข่งขันในประเทศญี่ปุ่นได้นำมาซึ่งตัวอย่างของการเป็นแม่ที่ทุ่มเทในเรื่องการศึกษาของลูก  สามารถกล่าวได้ว่า ประเด็นการศึกษาที่ผู้เป็นแม่สนับสนุนจะเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ในการเตรียมตัวการสอบเข้าโรงเรียนของลูก ระหว่างแม่กับลูกชายหลังจากการเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มในสังคมญี่ปุ่น พ่อค่อนข้างที่จะไม่อยู่บ้าน แม่ก็จะต้องดูแลลูกชายอย่างเต็มตัว ทำให้แม่มีบทบาทที่สำคัญและรู้สึกถึงความกดดัน  แต่ก็มีส่วนที่เป็นประโยชน์หรือข้อดี คือ ความผูกพัน หรือสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกชาย  การเติมเต็มของแม่คือ ความสำเร็จทางอ้อมโดยดูได้จากการประสบความสำเร็จของลูกชายและประโยชน์ของลูกที่ได้รับจากการสนับสนุนของผู้เป็นแม่   โดยในวิธีการศึกษาเรื่องนี้ จะเน้นการมองที่ประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นและเบื้องหลังทางด้านวัฒนาธรรมภายใต้บทบาทของหญิงและชาย ซึ่งจะทำให้เข้าใจความขัดแย้งภายในครอบครัว  ซึ่งทำให้เป็นประโยชน์ในการสรุปผลการศึกษาถึงสถานการณ์ที่แสดง รูปแบบของอาชญากรรมหรือความรุนแรงภายในครอบครัวตั้งแต่ปี 1970 ซึ่งความรุนแรงภายในครอบครัวนั้น ได้เป็นปัญหายืดเยื้อของสังคมญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ตามรายงานของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 37 ราย ที่ได้พยายามฆ่าตัวเองและฆ่าพ่อแม่ในห้าปีหลัง มากถึงสิบรายในแต่ละปี ซึ่งผลของสถานการณ์ทำให้ปัญหาดังกล่าวกลายเป็นปัญหาที่สำคัญของสังคมญี่ปุ่น
          Lee, Romeo ได้ศึกษา เรื่อง “Support for Action Research on Males’ Perspectives on Gender and Family Violence” ในประเทศฟิลิปปินส์   พบว่ารายงานการวิจัย ชายฟิลิปปินส์และความรุนแรงในระดับครอบครัว (MENDOV)” เกิดจากคำถามที่ว่า หาก ผู้ชายเป็นแหล่งที่มาของความรุนแรง ทำไมพวกเขาถึงไม่ถูกเข้าข่าย ความรุนแรงระดับครอบครัว  ซึ่งผลการศึกษานี้มีระยะเวลา 24 เดือน (สิงหาคม 1998 – กรกฎาคม 2000 ) ในเมือง Davao and เมือง Iloilo โดยการประสานงานกับองค์การระดับชุมชน แผนต้นแบบมีลักษณะเป็นงานที่สนับสนุนและรองรับงานวิจัย โดยครอบคลุมส่วนประกอบต่างๆในสังคมอย่างกว้างขวาง ส่วนประกอบในงานวิจัยร่วม 10 เดือน ในระยะทำงาน 2 ปี เป็นการทำความเข้าใจในบริบทของชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีพฤติกรรมความรุนแรง ซึ่งพบว่า การรับรู้ ทัศนคติ ประสบการณ์ และความรู้สึก เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับ การแต่งงานชีวิตครอบครัว, ปมในจิตใจของแต่ละคน และโอกาสในการมีพฤติกรรมความรุนแรง  นอกจากนี้ได้มีการจัดทำ Workshop และ ติดตามผล เยี่ยมชมแหล่งชุมชนและสถานที่ทำงานในระยะเวลา 3 สัปดาห์  ผลของการจัดทำ Workshop พบว่า ทฤษฎีนิเวศวิทยาส่งผลถึงความรุนแรงของผู้ชาย นั้นเป็นบ่อเกิดของปัญหา ซึ่งอ้างอิงได้ว่า ระบบสังคมขนาดเล็กมีพลังและตัวแปรที่มีอิทธิพลอยู่เสมอในความรุนแรงระดับครอบครัว ระบบย่อยที่เป็นส่วนประกอบในระบบสังคมหลักที่ประกอบด้วย ครอบครัว,ศาสนา,การเมือง เศรษฐกิจ,สาธารณสุขกฎหมายสื่อหรือข่าวสาร และการศึกษา รวมทั้งระบบย่อยอื่นๆ ที่เป็นความจำเป็นส่วนบุคคล ในระดับของสังคมทั้งมีรูปแบบและไม่มีรูปแบบ โดยใช้systemic approach ในการทดสอบกับระบบย่อยทั้งหลาย และ แกนของผู้มีอำนาจในระบบสังคมที่จะเข้าใจในวิธีการขับเคลื่อนทางสังคมเพื่อการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว
          โดยสรุป จะเห็นได้ว่า การศึกษาความเสี่ยงของครอบครัวไทย จำเป็นจะต้องศึกษาทั้งช่วงก่อนการมีครอบครัว และระหว่างการมีครอบครัว ได้แก่ ความพร้อมในด้านวุฒิภาวะ การวางแผนในการมีครอบครัว ความมั่นคงในอาชีพที่สามารถทำให้ชีวิตครอบครัวดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และความสัมพันธ์ระหว่างที่ยังเป็นคู่รักกัน รวมทั้งการยอมรับของพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งมีผลต่อการครองชีวิตคู่ต่อไปด้วย  ถัดมาเป็นการดำรงชีวิตเมื่อมีครอบครัวแล้ว  อันได้แก่ การทำกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกในครอบครัว  ระดับความขัดแย้งและความรุนแรงในครอบครัว  การเลี้ยงดูอบรมบุตรหลาน รวมทั้งการทำตัวเป็นแบบอย่าง  และการปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม  นอกจากนั้นปัจจัยด้านเศรษฐกิจก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตครอบครัว อันได้แก่ อาชีพ และความพอเพียงด้านรายได้รายจ่าย และการเก็บออมเพื่ออนาคต

ผลวิจัยในประเทศไทยเรา


นการศึกษาเรื่อง โครงการสำรวจความเสี่ยงของครอบครัวไทย  คณะผู้วิจัยได้มีการศึกษาผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษาดังกล่าว  ดังต่อไปนี้
โสภา  ชปิลมันน์ และคณะ (2534:4/28-30)  ได้ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบครอบครัวไทยที่พึงปรารถนาในสังคมเมืองในประเทศไทย  โดยสอบถามเรื่องทัศนคติจากกลุ่มตัวอย่างถึงลักษณะคู่สมรสที่คิดว่าจำเป็นต้องมี พบว่า ร้อยละ 69.2 เห็นว่าต้องเข้ากับพ่อแม่พี่น้องได้ ร้อยละ 59.7  เห็นว่าต้องมีอาชีพที่แน่นอน  ร้อยละ 54.6 เห็นว่าต้องช่วยรับภาระครอบครัวได้ ร้อยละ 53.8 เห็นว่า ต้องมีสุขภาพสมบูรณ์  ร้อยละ 27.1 และ 21.3 เห็นว่าต้องมีอายุที่ไล่เลี่ยกัน และต้องมีบ้านอยู่อาศัยของตนเอง เป็นลำดับ
สำหรับความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างในเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อความมั่นคงในครอบครัว พบว่าร้อยละ 81.7 เห็นว่าเป็นความเข้าใจกันระหว่างสามีและภรรยา ร้อยละ 70.4 เห็นว่าเงิน ร้อยละ 61.8 เห็นว่าบ้านและที่ดิน ร้อยละ 6.09 เห็นว่าความรักของพ่อแม่และลูก ร้อยละ 49.6 และ 24.9 เห็นว่าตำแหน่งหน้าที่การงาน และการช่วยเหลือดูแลของญาติตามลำดับ  นอกจากนี้เมื่อสอบถามถึงลักษณะครอบครัวของคู่สมรสที่ประสบความสำเร็จ พบว่าร้อยละ 85.2 เห็นว่าครอบครัวควรจะแยกเป็นครอบครัวเดี่ยว ส่วนร้อยละ 10.7 และ 4.1 เห็นว่าอยู่กับพ่อแม่ และอยู่กับพ่อแม่และญาติ ตามลำดับ
สุมิตรา  รัฐประสาท (2527:96-97) ได้ศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับความมั่นคงในชีวิตสมรสของครูสังกัดกรมสามัญศึกษา ในกรุงเทพมหานคร โดยศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้านประชากร ด้านสังคมเศรษฐกิจและปัจจัยด้านจิตวิทยา พบว่า ครูมีความมั่นคงในชีวิตสมรส  ทั้งด้านความรู้สึก และพฤติกรรมอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความมั่นคงในชีวิตสมรสมากที่สุด คือ ความเป็นเพื่อนคู่ชีวิต   มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความมั่นคงในชีวิตสมรส และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความมั่นคงในชีวิตสมรส รองลงมา คือ การสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวเดิม ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ เพศ จำนวนบุตร อายุของบุตรคนสุดท้อง ความคล้ายคลึงของภูมิหลังทางสังคมด้านการศึกษาและอาชีพ การพึ่งตนเองได้เชิงเศรษฐกิจของภรรยา ภาระหนี้สินของครอบครัว ความแตกต่างด้านอายุของคู่สมรสและความพึงพอใจในด้านเพศสัมพันธ์  ไม่มีความสัมพันธ์กับความมั่นคงในชีวิตสมรส
วรรณาภรณ์  โภคภิรมย์ (2545: บทคัดย่อ) ศึกษาการดำรงชีวิตสมรสที่ยั่งยืน  ในทัศนะของผู้ที่เคยแต่งงานแล้วพบว่า ทัศนะต่อการดำรงชีวิตสมรสของผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ พบว่าในการดำรงชีวิตสมรสนั้น  คู่สมรสต้องมีความเอื้ออาทรห่วงใยกัน  คอยดูแลทุกข์สุขซึ่งกันและกัน มีความรักความเข้าใจกัน  มีความซื่อสัตย์ต่อกัน เชื่อใจกัน  มีความอดทน มีความรับผิดชอบ รู้จักบทบาทหน้าที่ของตน โดยผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญมีทัศนะว่า ถ้าคู่สมรสทุกคู่มีหลักเช่นนี้แล้ว ชีวิตคู่ก็จะดำรงอยู่อย่างราบรื่น  พฤติกรรมการดำรงชีวิตสมรสให้ยั่งยืน  พบว่าผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการปรับตัวเข้าหากันโดยมีการประนีประนอมกัน  และรองลงมาคือการแสดงออกซึ่งความคิด  ควรมีเหตุผลในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆใช้สติและต้องมีการแสดงออกซึ่งความรัก ความห่วงใยกัน  คอยถามไถ่ทุกข์สุขกัน และต้องมีการทำกิจกรรมร่วมกัน แนวทางส่งเสริมให้ครอบครัวเข้มแข็งนั้น คู่สมรสจะต้องมีพื้นฐานความรักความเข้าใจที่ดีต่อกัน เพราะเมื่อมีความรักความเข้าใจต่อกันแล้ว  ปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นในครอบครัวก็จะเป็นเรื่องไม่สำคัญและเห็นว่าความซื่อสัตย์ความจงรักภักดีต่อกันก็เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครอบครัวเข้มแข็ง
กลุ่มงานวิเคราะห์และพยากรณ์สถิติเชิงสังคม สำนักสถิติพยากรณ์ (2549: 2-3) สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้จัดทำบทความสรุปสถานการณ์การสูบบุหรี่ของประเทศไทย เป็นการต่อเนื่องจากวันงดสูบบุหรี่โลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอให้เห็นถึงแนวโน้ม สถานการณ์ ลักษณะของผู้สูบบุหรี่ และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากรไทย ผลสรุปที่สำคัญดังนี้
แนวโน้มของประชากรที่สูบบุหรี่  ตั้งแต่ปี 2519  2547 แสดงให้เห็นอัตราการสูบบุหรี่ของประชากรไทยมีแนวโน้มลดลง โดยปี 2519 มีผู้สูบบุหรี่ประมาณร้อยละ 30.1 และได้ลงลงเหลือ ร้อยละ 17.9 ในปี 2547 อัตราการสูบบุหรี่ลดลงทั้งชายและหญิง
ลักษณะของผู้ที่สูบบุหรี่และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ พบว่า ประชากรอายุ 15 ปี ขึ้นไปที่สูบบุหรี่ มีจำนวน 11.4 ล้านคน หรือร้อยละ 23.0 ในจำนวนนี้  มีผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำหรือสูบทุกวัน 9.6 ล้านคนหรือร้อยละ 19.5 และสูบนาน ๆ ครั้ง(สูบไม่สม่ำเสมอหรือกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนไม่ได้) 1.7 ล้านคน หรือร้อยละ 3.5  นอกจากนี้ ประชากรในวัยทำงานอายุ 25  59 ปี  สูบบุหรี่เป็นประจำสูงที่สุด คือ สูบบุหรี่ร้อยละ 22.8 ของประชากรในวัยเดียวกัน รองลงมา คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สูบร้อยละ 17.7 และเยาวชนอายุ 15 -24 ปี  สูบร้อยละ 11.2 อัตราการสูบบุหรี่เป็นประจำในปี 2547  ลดลงจากปี 2544 ทุกกลุ่มอายุ  โดยกลุ่มเยาวชนมีอัตราร้อยละของการสูบบุหรี่เป็นประจำลงลงน้อยกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ
พฤติกรรมการสูบบุหรี่ขณะอยู่ในบ้านกับสมาชิกในครัวเรือน  ร้อยละ 87.9 ของผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ  จะสูบบุหรี่ขณะอยู่ในบ้านกับสมาชิกในครัวเรือน อัตราร้อยละนี้เปลี่ยนแปลงลงลงจากปี 2544  เล็กน้อย (ปี 2544  มีอัตราร้อยละ 88.5)
โดยสรุป  จากข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากร จะเห็นว่า พฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชากรไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ ในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน  ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกกฎหมายควบคุมการบริโภคยาสูบและมาตรการที่สำคัญ ๆ หลายเรื่อง และที่สำคัญยิ่ง คือ จากกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยเยาวชนไทยเกี่ยวกับปัญหาของบุหรี่ ทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้เพิ่มการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ อย่างไรก็ตาม  การรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ควรจะมีการดำเนินอย่างต่อเนื่องและมีการสร้างแบบอย่างที่ดีในสังคมผู้ใหญ่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน  ส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วยมาตรการเหล่านี้ ก็น่าจะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ปลอดบุหรี่และมีความน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (2549: 1-3)   ได้จัดทำ บทความพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพของประชากรไทย มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อให้คนไทยทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของพฤติกรรมเสี่ยงที่มีต่อสุขภาพเพื่อจะได้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ข้อมูลที่นำมาใช้ได้มาจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงแรงงาน โดยได้นำเสนอพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพที่สำคัญ ดังนี้
การสูบบุหรี่ จากผลการสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติครั้งล่าสุดในปี 2549  พบว่า อัตราการสูบบุหรี่ของประชากรมีแนวโน้มลดลงในช่วงระหว่าง ปี 2544  2549 โดยในปี 2547 ร้อยละ 19.5 และร้อยละ 18.9  ในปี 2549  สำหรับอายุเฉลี่ยเมื่อเริ่มสูบบุหรี่โดยรวมของปี 2549 เป็นประมาณ 19 ปี ชายเริ่มสูบบุหรี่เร็วกว่าหญิง โดยชายเริ่มสูบเมื่ออายุ ประมาณ 18 ปี  และหญิงเริ่มสูบเมื่ออายุ ประมาณ 23 ปี
การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์  ร้อยละของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่ดื่มสุราเป็นร้อยละ 31.6  ลดลงเล็กน้อยจากปี 2547  ชายดื่มสุรามากกว่าหญิง คือ ชายร้อยละ 54.6 และหญิงร้อยละ 10.0 ซึ่งพบว่าในกลุ่มอายุ 25 -59 ปี มีผู้ดื่มสุรามากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 36.8
          จะเห็นว่า พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพของประชากรไทย  มีผลอย่างมากต่อความเสี่ยงปัญหาครอบครัวไทย เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกครอบครัว จึงทำให้การศึกษาในพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าว ถือเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ เนื่องจากมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของสมาชิกอื่น ๆ ในครอบครัว อันอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงได้  นอกจากนั้นยังอาจมีผลต่อการเลียนแบบของบุตรหลาน และก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเพียงพอและการได้ออมรายได้ของครอบครัวอีกด้วย
อ้วน  เจียรบุตร (2543:บทคัดย่อ) ศึกษาคุณภาพชีวิตด้านครอบครัวและชุมชนของประชาชนไทยพุทธ ในชุมชนชนบท: ศึกษาเฉพาะกรณี บ้านพรุ ตำบลลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พบว่าประเด็นด้านคุณภาพครอบครัว  ภาพรวมอยู่ในระดับสูง  และหากแยกรายตัวชี้วัด พบว่า ตัวชี้วัดอยู่ในระดับสูง มี 3 ตัว คือ 1) ความสัมพันธ์ในครอบครัว 2)  การดำรงชีวิตในครอบครัว 3) การมีส่วนตัดสินใจในกิจกรรมของครอบครัว  ตัวชี้วัดที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูง มี 3 ตัว 1) ความพร้อมในการสร้างครอบครัว 2) สภาพครอบครัวและ 3) การแสดงบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของสมาชิก  และตัวชี้วัดที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ มี 1 ตัวชี้วัด คือ การรับรู้ข่าวสารของครอบครัว
วริษา  โทณะวณิก (2545: บทคัดย่อ)  ได้ศึกษาเรื่องความมั่นคงในครอบครัวของนักศึกษาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พบว่า  นักศึกษามีความมั่นคงในครอบครัวระดับสูง  ปัจจัยด้านครอบครัวของนักศึกษาที่มีผลต่อความมั่นคงในครอบครัว ได้แก่ ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว และการใช้เวลาในครอบครัว
ฉันทนา วุฒิไกรจำรัส (2543:บทคัดย่อ)  ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาปัจจัยก่อนการสมรส  ปัจจัยการเลือกคู่ครอง  และทัศนคติต่อการสมรสระหว่างแรงงานที่จดทะเบียนสมรสและไม่จดทะเบียนสมรส :ศึกษากรณีแรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง  จังหวัดชลบุรี  ผลการศึกษาพบว่า  กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นหญิงซึ่งมีแบบแผนการสมรสแบบไม่จดทะเบียนสมรส ปัจจัยก่อนการสมรส กลุ่มที่ไม่จดทะเบียนสมรสมีอายุแรกสมรสต่ำกว่า และใช้ระยะเวลาคบคุ้นกับเพื่อนต่างเพศไม่นาน  ขณะที่กลุ่มที่มีแบบแผนการสมรสแบบจดทะเบียนสมรส  มีอายุแรกสมรสสูงกว่า และใช้ระยะเวลาคบคุ้นเคยนานกว่า  ด้านการสนับสนุนจากบุคคลนัยสำคัญ กลุ่มจดทะเบียนสมรสได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่มากกว่า แต่กลุ่มไม่ได้จดทะเบียนสมรสพ่อแม่มักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการสมรส ปล่อยให้ตัดสินใจเอง  การเลือกคู่ครอง  กลุ่มที่จดทะเบียนสมรสเลือกคู่ครองจากความคล้ายคลึงกันทางทัศนคติ รองลงมา  คือ ความคล้ายคลึงกันทางสังคม ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสเลือกคู่ครองจากความคล้ายคลึงกันทางกายภาพ  ด้านเกณฑ์การเลือกคู่ครอง กลุ่มจดทะเบียนสมรสจะเลือกเกณฑ์ในการมีความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสใช้เกณฑ์ความประพฤติดีและนิสัยดี  ในการเลือกคู่ครอง
          วีระศักดิ์ มโนวรรณ์ (2547:บทคัดย่อ)  จากการศึกษาคุณภาพชีวิตของประชาชนตอนกลางลุ่มแม่น้ำอิง ด้านความมั่นคงในการดำเนินชีวิตในครอบครัวและชุมชน : กรณีศึกษา อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย พบว่า  คุณภาพชีวิตด้านความมั่นคงในการดำเนินชีวิตครอบครัวภาพรวมอยู่ในระดับสูง ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่มีระดับค่าเฉลี่ยสูง คือ สภาพบ้านที่อยู่อาศัย  ส่วนตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่มีระดับค่าเฉลี่ยต่ำ คือ สถานะการเงินของครอบครัว เพราะมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ  ส่วนคุณภาพชีวิตด้านความมั่นคงในการดำเนินชีวิตในชุมชน  ภาพรวมอยู่ในระดับสูง ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่มีระดับค่าเฉลี่ยสูง คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน  ตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตที่ระดับค่าเฉลี่ยต่ำ คือ การรับรู้ข้อมูล ข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อม
          สุรีรัตน์ จุลานุพันธ์ (2549:บทคัดย่อ) จากการศึกษาความคาดหวังเกี่ยวกับรูปแบบครอบครัวที่พึงปรารถนา กรณีศึกษา สถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถีและสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านมหาเมฆ  พบว่า  สภาพปัญหาครอบครัว เป็นลักษณะที่บิดามารดาไม่พร้อมต่อการมีบุตร  สังเกตได้จากสาเหตุอันดับหนึ่งที่ผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์  นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาการหย่าร้าง  ปัญหาที่เกิดจากบิดามารดามีสามีหรือภรรยาใหม่  ปัญหาการถูกทารุณกรรมทางเพศ  ปัญหาที่เกิดจากบิดามารดาติดคุกหรือติดยา  ปัญหาเกิดจากบิดามารดาเสียชีวิตและปัญหาที่เกิดจากครอบครัวฐานะยากจน  ส่วนรูปแบบครอบครัวที่พึงปรารถนา ของผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญพบว่า  ต้องการรูปแบบที่บิดามารดาและบุตรอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างอบอุ่น นอกจากนั้นยังต้องการรูปแบบครอบครัวที่มีความรักความผูกพันและรูปแบบครอบครัวที่ทุกคนในครอบครัวต่างใช้เหตุผลเป็นหลัก ไม่ใช้อารมณ์และความรุนแรง
          เพ็ญจันทร์ ประดับมุข (2550)  ได้ทำการวิจัยเรื่อง ความรุนแรงในครอบครัว โดยได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่า ในอดีตสังคมไทยมีอุดมคติว่า สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่ปลอดภัย สงบสุข  แต่ปัจจุบันพบว่าสังคมไทยมีแนวโน้มของความรุนแรง การบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการทำร้ายกันเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมตำรวจ กระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุตรงกันว่า ปัจจุบันเด็กหลายคนถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง และเด็กถูกทำร้ายจากในบ้านมากกว่านอกบ้าน ทั้งจากผู้เป็นพ่อแม่ คนรู้จัก หรือสามีภรรยาที่อยู่ร่วมกัน  นอกจากนี้ กรณีที่สามีตบตีภรรยาว่าเป็นการทำทารุณกรรมในรูปแบบที่สามัญที่สุดในครอบครัว และพบเห็นได้มากที่สุด ซึ่งความรุนแรง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ถูกกระทำโดยตรง ทั้งการบาดเจ็บทางร่างกาย จิตใจ จนบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ และอาจจะส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และการปรับตัว รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านการรักษาในอนาคต
          นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า  ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวประกอบด้วยหลายปัจจัย ดังนี้ 1) ระดับบุคคล เกิดจากความเจ็บป่วยทางจิตของผู้ลงมือกระทำ  การใช้สารเสพติด  การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2) สังคมจิตวิทยา เกิดจากโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น  เด็กขาดการดูแลเอาใจใส่ อบรมพฤติกรรมที่ถูกต้อง ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบเมื่อโตขึ้น  หรืออาจเกิดจากความเครียดเรื่องความยากจน ครอบครัวล้มเหลว และ 3) สังคมวัฒนธรรม เนื่องจากโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อต่อการเกิดความรุนแรง ความไม่เป็นธรรมของโครงสร้างทางสังคมที่ยึดถือกัน ตั้งแต่ในอดีตว่าผู้ชายเป็นใหญ่  กลายเป็นวัฒนธรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ทั้งนี้เพราะสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากสังคมเกษตรกรรม มาเป็นอุตสาหกรรมและกลายเป็นสังคมยุคเทคโนโลยี  ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างครอบครัว  เช่น การอพยพของแรงงานเข้าสู่เขตเมืองมากขึ้น  สมาชิกในครอบครัวมีเวลาในแก่กันน้อยลง  อัตราการหย่าร้างมากขึ้น  ปัญหาเรื่องโรคระบาดและยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น  เป็นต้น  ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลกระทบต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน  สำหรับแนวทางการแก้ไข คือ การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง  และวัฒนธรรม สังคมต้องตระหนักและเห็นความสำคัญ โดยไม่คิดว่าเป็นปัญหาเฉพาะสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวไทยได้ในการเฝ้าระวังความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมองว่า เรื่องความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัวจึงไม่มีบุคคลภายนอกเข้าไปช่วยเหลือได้
            บุญเสริม หุตะแพทย์ (มปป.)  ศึกษาลักษณะการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว  พบว่า การจัดบริการที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนส่วนใหญ่เน้นการแก้ไขปัญหามากกว่าการป้องกัน   ประเภทและลักษณะของการบริการที่จัดให้มากที่สุด คือการให้คำปรึกษา การบริการด้านกฎหมาย   ด้านอาชีพ   ด้านสุขภาพ   ด้านการเงิน  และยังมีการบริการอื่น  ได้แก่   การบริการที่พัก   เครื่องอุปโภคบริโภค  และกิจกรรมนันทนาการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง  มีการประสานงานกันตามภาระหน้าที่หลักในด้านการคุ้มครอง การฝึกอาชีพ  การบำบัดฟื้นฟู และด้านกฎหมาย มีการติดตามผลผู้รับบริการทั้งที่ยังพักอยู่ในสถานที่ที่หน่วยงานจัดให้ และผู้ที่กลับคืนสู่ครอบครัวแล้ว การบริการของหน่วยงานสามารถแก้ไขปัญหาได้บางส่วน แต่ยังไม่สามารถแก้ไขสาเหตุของปัญหาได้  ขาดกฎหมายที่จะเอาผิดกับพ่อแม่ที่กระทำความรุนแรงต่อลูก และการป้องกันการถูกกระทำซ้ำ
(ที่มา:http://www.women-family.go.th/women2/bibliology)
            นิลาวรรณ ฉันทะปรีดา และคณะ (2545) ศึกษาความรุนแรงระหว่างพี่น้องในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  พบว่า  ความรุนแรงระหว่างพี่น้องมีทั้งความรุนแรงทางด้านร่างกาย ด้านอารมณ์/จิตใจ  และด้านเพศ พฤติกรรมความรุนแรงแต่ละด้านส่วนใหญ่ ได้แก่  ตี  หรือตบ ด่าทอหรือแกล้งให้โกรธและอาย และเปิดเผยร่างกายหรือถอดเสื้อผ้า  ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ความรุนแรง ได้แก่  ความเสี่ยงส่วนบุคคลและครอบครัว การศึกษา  ชนิดของครอบครัว อายุของผู้ถูกกระทำ จำนวนพี่น้อง และจำนวนเด็กอื่นในครอบครัว โดยผู้ที่ถูกกระทำต่างกันจะมีการจัดการกับความรุนแรง และรับรู้การตอบสนองของพ่อแม่ และผลกระทบแตกต่างกัน   วิธีการจัดการของพ่อแม่  ส่วนใหญ่พยายามลดความรุนแรงด้วยคำพูด ส่วนผู้ถูกกระทำมักใช้วิธีการทำอารมณ์ให้ดีขึ้นโดยมีผลกระทบตามมาในปัจจุบันนี้ เช่น กลัวผู้กระทำ กลัวเรื่องเพศ นอนฝันร้าย อยากทำร้ายตนเอง ใช้สารเสพติด โกรธ และมีความห่างเหินระหว่างพี่น้อง
(ที่มา: http://www.women-family.go.th/women2/bibliology)
          สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (2547) ได้จัดทำรายงานสถานการณ์ทางสังคม พบว่า แนวโน้มของสถานการณ์ครอบครัว เกิดจากอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ และภาวะความทันสมัยที่เน้นปัจเจกบุคคลและค่านิยมในการบริโภคและวัตถุนิยมมากขึ้น  ส่งผลให้สังคมมีการแข่งขัน ประกอบกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี  อุตสาหกรรมและกระแสเศรษฐกิจของประเทศและโลก ส่งผลต่อค่าครองชีพและแบบแผนของครอบครัว  ผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้ครอบครัวมีแนวโน้มประสบปัญหา ดังนี้
          1) โครงสร้างของครอบครัวทั้งในเมืองและในชนบทที่เป็นครอบครัวเดี่ยว จะมีแนวโน้มที่ขนาดของครอบครัวเล็กลง  และรูปแบบของครอบครัวจะมีหลากหลายมากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
          2)โครงสร้างของครอบครัวที่ประกอบด้วยบุคคลสองวัย  คือ ผู้สูงอายุและเด็กจะมีมากขึ้น โดยเฉพาะในชนบทเนื่องจาก การที่หนุ่มสาววัยแรงงานอพยพเข้าไปหางานทำในเมืองใหญ่ เมื่อมีครอบครัวและมีบุตร โดยไม่มีความพร้อม  ประกอบกับปัญหาค่าครองชีพสูงก็จะส่งลูกไปให้ปู่ย่าตายายช่วยเลี้ยงดู จึงทำให้ครอบครัวในชนบทมีโครงสร้างเพียงบุคคลสองวัย คือ วัยสูงอายุและเด็กมากขึ้น
          3) ผู้สูงอายุในชนทบที่เคยมีบทบาทในการถ่ายทอดคุณธรรมและวัฒนธรรมให้แก่ลูกหลาย และเป็นวัยที่ควรจะได้รับการดูแล  เอาใจใส่ลูกหลาน จะถูกปรับเปลี่ยนบทบาทและรับภาระมากขึ้นในการทำหน้าที่แทนพ่อแม่เด็ก โดยจะต้องรับภาระในการเลี้ยงดูเด็กทั้งทางกายภาพและจิตใจ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่อพยพมาจากชนบทและแสวงหางานทำในเมือง  เมี่อมีบุตรก็จะส่งลูกให้ปู่ย่า ตายาย ช่วยเลี้ยงดูแทน  สำหรับผู้ที่มีความรับผิดชอบก็จะมีการติดต่อ ส่งเสียเงินทองเป็นค่าเลี้ยงดู  ผู้สูงอายุจะไม่ต้องรับภาระในการหารายได้เพื่อเลี้ยงดูหลาน  แต่ในกรณีที่พ่อแม่เด็กไม่รับผิดชอบและห่างเหินการติดต่อ ก็จะทำให้ ผู้สูงอายุต้องรับภาระหนักขึ้นทั้งในการหารายได้เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว  ในขณะเดียวกันก็ต้องให้การอบรม สั่งสอนเด็กด้วย  ซึ่งภาระดังกล่าว ส่งผลต่อภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจอีกด้วย
          4) ครอบครัวที่มีสามีและภรรยาอยู่ร่วมกัน โดยไม่มีการจดทะเบียนสมรสมีมากขึ้น เนื่องจากค่านิยมในการรักอิสระ และไม่ต้องการพึ่งพิงซึ่งกันและกัน
          5) ครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เลี้ยงลูกตามลำพังมีมากขึ้น เนื่องจากอัตราการหย่าร้างที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การแยกกันอยู่ของครอบครัว และจากการเสียชีวิตของคู่สมรส โดยเฉพาะครอบครัวที่มีแม่เป็นหัวหน้าครอบครัวและเลี้ยงลูกตามลำพังจะมีแนวโน้มสูงขึ้น  การที่ครอบครัวมีผู้ปกครองที่เป็นพ่อหรือแม่คนเดียว ทำให้ต้องแบกความรับผิดชอบทั้งของตนเอง ครอบครัว และบุตรเพิ่มมากขึ้น ครอบครัวที่มีผู้ปกครองคนเดียวต้องรับภาระหนักด้านเศรษฐกิจ  ประสบปัญหาความเครียดและความว้าเหว่ ทำให้ไม่มีเวลาในการอบรมสั่งสอนและการช่วยเหลือลูกในด้านการเรียนอย่างเหมาะสม
          6) การเลี้ยงดูเด็กของครอบครัว  พ่อแม่จะมีระยะเวลาการเลี้ยงลูกและการอยู่กับลูกสั้นลง เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจและการให้ความสำคัญกับบทบาททางหน้าที่การงานมากกว่าครอบครัว เด็กเล็กจะถูกเลี้ยงดูในลักษณะ ดังนี้
                   (1) ปู่ย่า ตายายเลี้ยงดูแทน  สำหรับครอบครัวที่ฐานะทางเศรษฐกิจไม่มั่นคงและมีถิ่นฐานอยู่ในชนบท เมื่อคลอดบุตรและเลี้ยงดูได้ระยะหนึ่งก็จะส่งให้ปู่ย่า ตายายช่วยเลี้ยงดูแทน พ่อแม่จะอยู่กันตามลำพัง
                   (2) มีผู้ช่วยดูแลเด็กโดยการว่าจ้างบุคคลมาช่วยเลี้ยงดูที่บ้านแทน พ่อแม่จะออกไปทำงานนอกบ้าน  เด็กจะอยู่กันตามลำพังกับผู้ช่วยดูแล ซึ่งเด็กจะต้องอยู่กับผู้ช่วยดูแลทั้งวัน หากบุคคลที่ได้มีคุณภาพจะทำให้เด็กมีการพัฒนาการที่ดี หรือหากมีผู้สูงอายุที่เป็นปู่ย่า ตายายอยู่ด้วยจะช่วยควบคุมการเลี้ยงดูได้ด้วย  ในทางกลับกันหากผู้ช่วยดูแลเด็กไม่มีคุณภาพและคุณธรรมก็จะมีผลต่อพัฒนาการและพฤติกรรมของเด็กต่อไป
                   (3) การจ้างสถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งมีทั้งเช้าไป  เย็นกลับ  และรับกลับสัปดาห์ละครั้ง
          สำหรับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูในลักษณะที่ (2) และ (3)  เมื่อเด็กมีอายุได้ 2  3 ปี จะถูกส่งเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนหรือโรงเรียนอนุบาล ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะมีผลต่อพัฒนาการของเด็กทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
          7) เด็กกำพร้าพ่อหรือแม่หรือทั้งพ่อและแม่ อันเนื่องมาจากพ่อแม่เสียชีวิตจากการติดเชื้อเอดส์ มีจำนวนมากขึ้น (2547)

คุณภาพชีวิตสมรส


Lewis and Spanier (1979 : 450) กล่าวว่า คุณภาพชีวิตสมรสเป็นสิ่งที่มีความหมาย ครอบคลุมองค์ประกอบหลายอย่างที่แสดงถึงคุณค่า และการประเมินความสัมพันธ์ของการสมรส โดยประเมินในลักษณะที่เป็นความต่อเนื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส คุณภาพชีวิตสมรสที่ดีเกี่ยวข้องกับการปรับตัวที่ดี  การสื่อสารระหว่างคู่สมรสที่ดี มีความสุขในชีวิตสมรสสูง  มีความพึงพอใจซึ่งกันและกัน  มีความขัดแย้งต่ำ มีการประสานกันระหว่างคู่สมรสเป็นอย่างดี  ซึ่งคุณภาพชีวิตสมรสในลักษณะดังกล่าวนี้  อาจจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์ของคู่สมรสว่า จะสามารถแสดงออกกันได้ดีเพียงใด และขึ้นอยู่กับหน้าที่ของชีวิตสมรสว่า คู่สมรสจะปฏิบัติตามบทบาทหนาที่ของการเป็นสามีภรรยาได้มากน้อยเพียงใด
องค์ประกอบคุณภาพชีวิตสมรส
Lewis and Spanier  (อ้างถึงใน  บุญประคอง  ภาณุรัตน์,2531:20-21) ได้เสนอแนวคิดของคุณภาพชีวิตสมรส ซึ่งมีองค์ประกอบต่อไปนี้
1) การปรับตัวในชีวิตสมรส(Marital adjustment) หมายถึง การที่คู่สมรสมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกัน และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและทำกิจกรรมร่วมกัน มีการแสดงออกให้เห็นความรักและความไว้วางใจต่อกัน รวมถึงการปรับตัวในเรื่องเพศรส
2) ความพึงพอใจในชีวิตสมรส(Marital satisfaction) หมายถึง ความรู้สึกที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและสบายใจในการใช้ชีวิตร่วมกันของคู่สมรส ที่มีต่อสถานการณ์ชีวิตสมรสในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและจิตวิทยา
3) ความสุขในชีวิตสมรส(Marital happiness) หมายถึง การที่คู่สมรสทั้งสองฝ่ายรู้สึกตรงกันว่า ตนเองและคู่สมรสอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  มีความอบอุ่นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
4) ความขัดแย้งในชีวิตสมรส (Marital conflict) หมายถึง ความคิดหรือการแสดงออกของคู่สมรสในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่สามารถตกลงกันได้ เช่น การใช้อำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ การคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ การโต้แย้ง ตลอดจนถึงการทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน
5) การสื่อสารระหว่างคู่สมรส(Marital communication) หมายถึง การที่คู่สมรสได้พูดคุยปรึกษาหารือ หรือทำความเข้าใจซึ่งกันและกันในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงการแสดงออกโดยไม่ใช้ภาษาพูด เช่น การแสดงสีหน้า ท่าทาง แววตา และมีความเชื่อมโยงกับการมีความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจกัน
6) การผสมผสานในชีวิตสมรส (Marital integration) หมายถึง การรวมหน่วยที่แยกกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นสิ่งที่รวมกันขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างไปจากผลรวม ซึ่งเกิดจากการบวกเอาส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น กลุ่มที่มีความสามัคคีร่วมมือกันเป็นอย่างดี เรียกว่า มีการบูรณาการรวมหน่วยสูง ย่อมจะทำงานได้ผลรวมทั้งหมดมากกว่าผลรวมของงานที่สมาชิกแยกกันทำ
ฉันทนา วุฒิไกรจำรัส (2546:6-10)  กล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อความสัมพันธ์ของครอบครัว  แบ่งเป็นกลุ่มปัจจัย 2 กลุ่ม  คือ กลุ่มปัจจัยด้านความพึงพอใจวิถีชีวิตของคู่สมรส  และกลุ่มปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
กลุ่มปัจจัยด้านความพึงพอใจ  ในชีวิตของคู่สมรสเป็นปัจจัยด้าน  ความพึงพอใจในวิถีชีวิตของคู่สมรส  ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตสมรส  ได้แก่ สถานภาพทางเศรษฐกิจและอิทธิพลของสังคมรอบตัว  ดังนี้
สถานภาพทางเศรษฐกิจของคู่สมรสส่วนใหญ่จะ หมายถึง รายได้ของครอบครัว ซึ่งน่าจะเป็นรายได้รวมทั้งสามีภรรยาและเป็นรายได้ที่นำมาใช้จ่าย  เพื่อทำให้ครอบครัวมีความสุขมีความมั่นคง การวัดรายได้ของคู่สมรสนี้อาจจะไม่ได้หมายถึง  ความมากน้อยของจำนวนเงินที่รับ
อิทธิพลของสังคมรอบตัว  ซึ่งสังคมรอบตัวของคู่สมรส ได้แก่ ญาติ เพื่อน รวมไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ฯลฯ หากกลุ่มคนเหล่านี้ให้การยอมรับค่าของความเป็นสามีภรรยาเป็นอย่างดี  ยอมรับว่าเป็นคู่สมรสที่เหมาะสม  หรือยอมรับบุคคลทั้งคู่ไม่รังเกียจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  ย่อมทำให้คู่สมรสมีความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้  หรือการที่คู่สมรสมีโอกาสร่วมกิจกรรมในชุมชนมาก(หมายถึงการที่ทั้งคู่ได้รับการยอมรับจากชุมชน) จะทำให้คู่สมรสมีความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้เช่นกัน
กลุ่มปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิต  ที่เป็นกลุ่มปัจจัยที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส เนื่องจากชีวิตสมรสคือการเริ่มต้นชีวิตของคนสองคน ปฏิสัมพันธ์ในแง่บวกระหว่างทั้งสองมีมากเท่าใด ความมั่นคงในชีวิตสมรสก็มีมากเท่านั้น ในทางกลับกันหากคู่สมรสมีปฏิสัมพันธ์กันไม่ดี การอยู่ร่วมกันย่อมไม่ราบรื่น แม้มีปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมหรือเอื้ออำนวยให้คู่สมรสได้อยู่รวมกันอย่างดีเพียงใดก็ตาม สิ่งที่ตามมาอาจจะ เป็นความจำยอม ในการอยู่ด้วยกัน หรือในที่สุดอาจจะถึงกับแยกทางกันเดินก็ได้
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของคู่สมรส  สามารถดูได้จากการแสดงออก หรือผลของปฏิสัมพันธ์ ในหลาย ๆแง่มุม เช่น  การยอมรับกันและกันในทุกๆ ด้าน(สรีระร่างกาย จิตใจ เพศสัมพันธ์ ฯลฯ) ความสนิทเสน่ห์หาที่มีต่อกัน การสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ การมีบทบาทที่สอดคล้องกัน(ความสมานฉันท์ทางบทบาท) และการมีความสัมพันธ์กัน แบบเพื่อนคู่ชีวิต  ซึ่งรายละเอียดของผลของปฏิสัมพันธ์เหล่านั้น มีดังนี้
1) การยอมรับกันและกัน  เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของการที่คู่สมรสจะอยู่ด้วยกันได้ เพราะการสมรสย่อม หมายถึงการต้องการใช้ชีวิตร่วมกันตลอดชีวิต  ต้องเห็นหน้ากันทุกวันต้องมีกิจกรรมร่วมกัน ต้องปรึกษาหารือกัน แก้ปัญหาร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  การยอมรับกันในแง่มุมทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน โดยไม่มีความขัดแย้งทางความคิดและอารมณ์ ไม่รำคาญกัน ไม่เบื่อกัน ไม่ดูถูกกัน ไม่เกลียดกัน ลักษณะการยอมรับกันและกันได้ มีตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น การมองอีกฝ่ายในแง่ดี  พอใจในคู่ชีวิตทั้งรูปร่างหน้าตา สติปัญญา  ความคิดเห็นและจิตใจ ซึ่งจะทำให้ทั้งคู่สื่อสารกันได้อย่างราบรื่น  แม้ต่อการตอบสนองทางเพศสัมพันธ์ที่คู่สมรสมอบให้  ยอมรับในตัวตนรวมไปถึงค่านิยมต่าง ๆ ของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นต้น
2) ความสนิทเสน่หาต่อกันเป็นปัจจัยด้านอารมณ์  ที่จะทำให้คู่สมรสรู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นเรื่องของการแสดงออกซึ่งความรักใคร่ ความต้องการทางเพศและรสนิยมทางเพศที่สอดคล้องกัน  มีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ร่วมกันรวมไปถึงการสนับสนุนส่งเสริมเป็นที่พึ่งทางใจ มีความเสมอภาคกัน (ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบหรือการกดขี่ทางเพศ) ขณะเดียวกันก็ไม่ละเมิดสิทธิส่วนตัวของกันและกัน  ให้เกียรติกัน เคียงข้างกันออกสังคม  ให้สังคมยอมรับและชื่นชมในการเคียงคู่กันของทั้งสอง ฯลฯ
3) การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การที่คู่สมรสสื่อสารกันได้มีความเข้าใจกัน พูดคุยกันในเรื่องหลากหลาย มีเวลาพูดคุยกันและที่สำคัญ คือ  เห็นความสำคัญของการพูดคุยกัน
การมีบทบาทที่สอดคล้องกันหรือความสมานฉันท์ทางบทบาท  หมายถึง ความเห็นที่สอดคล้องกันระหว่างสามีภรรยา  ว่าใครควรจะมีบทบาทใด  ซึ่งครอบคลุมการแสดงออกต่าง ๆ เช่น การสามารถตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด  การทำหน้าที่ตามควรแห่งบทบาทของตน (การเป็นสามีภรรยา  เป็นหัวหน้าครอบครัว ดูแลรักษาบ้านทรัพย์สินฯลฯ) ได้อย่างดี  และทำบทบาทได้ใกล้เคียงกับบทบาทที่คาดหวังให้ได้มากที่สุด แบ่งบทบาทกันทำอย่างยุติธรรม (ร่วมกันรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ การทำงานบ้าน การเลี้ยงดูลูก เป็นผู้เลี้ยงดูลูก  อบรมสั่งสอน แม้แต่การลงโทษลูก ฯลฯ) การมีบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกัน มีการปรองดองกันสูง ฯลฯ
4) การมีความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ในการเป็นเพื่อนคู่ชีวิต หมายถึง การที่คู่สมรส มีการพึ่งพาอาศัยกันและกัน  ในแง่อารมณ์และความคิด มีการทำกิจกรรมร่วมกันมีการไปไหนมาไหนด้วยกันและร่วมกันแก้ปัญหาของครอบครัว  อาจรวมถึงมีการไปวัดด้วยกันด้วย  ดังนั้น แนวคิดทางการศึกษาคู่สมรสไทยจึงน่ารวมไปถึงการมีความสอดคล้องกันในแง่การนับถือศาสนา การปฏิบัติตนตามแนวทางศาสนาร่วมกันเช่น ทำแต่ความดี  ละเว้นความชั่ว  ยึดหลักฆราวาสธรรมรวมไปจนถึงการทำบุญไปวัด ฯลฯ ด้วยกัน
การวัดความเป็นเพื่อนคู่ชีวิต ครอบคลุมการวัดกิจกรรมของการพูดคุยกัน การเข้าใจและยอมรับในกันและกัน  การไปเยี่ยมเพื่อนฝูงด้วยกัน หรือไปพักผ่อนด้วยกัน เป็นต้น

7. ความมั่นคงในชีวิตสมรส (Marital Stability) [top]
ความมั่นคงในชีวิตสมรส  เป็นเป้าหมายชีวิตสมรสประการหนึ่ง ซึ่งหมายถึง  การที่ชีวิตสมรสดำเนินต่อไปได้และชีวิตสมรสจะสิ้นสุดต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต  ส่วนชีวิตสมรสที่ไม่มั่นคงจะสิ้นสุดด้วยการกระทำอย่างจงใจ  โดยคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย  ในการที่จะแยกกัน หรือหย่าร้างกัน (Lewis and Spanier, 1979:269)
นอกจากนี้ยังมี Levinger (1979:36)  กล่าวถึง ความมั่นคงในชีวิตสมรส ว่าเป็นชีวิตสมรสที่ดำเนินไปอย่างปกติ ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นระหว่างคู่สมรส  ตรงข้ามกับ ความไม่มั่นคงในชีวิตสมรส  เป็นลักษณะที่แสดงว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในชีวิตสมรสซึ่งอาจเกิดขึ้นในลักษณะที่เป็น รูปแบบหรือ  ไม่เป็นรูปแบบ ตามกฎเกณฑ์ของสังคม  กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การสมรสที่มั่นคงจะมีการสิ้นสุดก็ต่อเมื่อเกิดการตายโดยธรรมชาติของคู่สมรส  แต่การสมรสที่ไม่มั่นคงเป็นการจบชีวิตสมรส  โดยการจงใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่  การแยกกันอยู่จัดเป็นการเลิกกันแบบไม่เป็นทางการ  ส่วนการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ การแยกกันอยู่จัดเป็นการเลิกกันแบบไม่เป็นทางการ  ส่วนการหย่าร้างกันตามกฎหมายและการละทิ้งจากไปของคู่สมรส  จัดเป็นการเลิกกันแบบเป็นทางการ  ดังนั้นจึงจำแนกในรูปแบบความมั่นคงในชีวิตสมรสตามกฎเกณฑ์ของสังคมได้ 2 ประการ  คือ เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ดังรายละเอียดดังต่อไปนี้

                   ความมั่นคง
รูปแบบ
สมบูรณ์แบบ(มั่นคง)
ไม่สมบูรณ์แบบ(ไม่มั่นคง)
เป็นทางการ
แต่งงานกันตามกฎหมาย
แยกกันตามกฎหมาย หย่าร้างเลิกกันตามกฎหมาย
ไม่เป็นทางการ
แต่งงานไม่เปิดเผย
การแยกกันโดยการตกลงอย่างไม่เป็นทางการการทอดทิ้ง
ที่มา : Levinger, 1979:36
           
Alan Booth and David Johnson (1983:387) ให้ความหมายของความไม่มั่นคงในชีวิตสมรสว่า เป็นคำที่อาจหมายถึงความล้มเหลวในชีวิตสมรส การหย่าร้าง การแตกแยกในชีวิตสมรส  การมีคุณภาพชีวิตสมรสต่ำ และการทอดทิ้ง  ซึ่งคำเหล่านี้มีความสัมพันธ์กัน แต่มีมโนทัศน์ต่างกันในบางกรณี  เช่น ความล้มเหลวในชีวิตสมรส หมายถึง การหย่าร้างตามกฎหมาย หรือแยกทางกันอย่างถาวรตามความสมัครใจของคู่สมรส แต่ความล้มเหลวในอีกมโนทัศน์หนึ่งหมายถึง  การจากกันโดยไม่สมัครใจ ซึ่งเกิดจากการตายหรือการทอดทิ้งไปของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
สรุปได้ว่า  ความไม่มั่นคงในชีวิตสมรส  มีความสัมพันธ์กับปัจจัย 3 กลุ่ม คือ ปัจจัยทางประชากร  ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม และปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งผลกระทบของแต่ละปัจจัยที่มีต่อคู่สมรส ย่อมแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของปัจเจกบุคคลและสังคม
ปัจจัยที่มีผลต่อความสัมพันธ์ของครอบครัว  แบ่งเป็นกลุ่มปัจจัย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปัจจัยด้านความพึงพอใจในวิถีชีวิตของคู่สมรส  และกลุ่มปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส  ฉันทนา วุฒิไกรจำรัส (2544: 6-10) มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) ปัจจัยด้านความพึงพอใจในชีวิตของคู่สมรส  ปัจจัยด้านความพึงพอใจในวิถีชีวิตของคู่สมรสที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตสมรส ได้แก่ สถานภาพทางเศรษฐกิจ  การทำงานนอกบ้านของภรรยา  ลักษณะโครงสร้างของครอบครัวและการที่บุคคลอื่น ๆ อาศัยอยู่ด้วยกัน และอิทธิพลของสังคมรอบตัว ดังนี้
- สถานภาพทางเศรษฐกิจ  สถานภาพทางเศรษฐกิจของคู่สมรสส่วนใหญ่จะหมายถึง รายได้ของครอบครัว  ซึ่งน่าจะเป็นรายได้รวมของทั้งสามีและภรรยา  และเป็นรายได้ที่นำมาใช้จ่ายเพื่อทำให้ครอบครัวมีความสุข มีความมั่นคง การวัดรายได้ของคู่สมรสนี้อาจจะไม่ได้หมายถึงความมากน้อยของจำนวนเงินที่ได้รับ
- แบบอย่างจากบิดามารดาของคู่สมรส  แบบอย่างจากบิดามารดาของคู่สมรส  หมายถึง  การที่คู่สมรสได้สัมผัสกับคุณภาพชีวิตสมรสของบิดามารดา และมีความประทับใจในบทบาทของพ่อและแม่ที่ตนได้เห็นมา บทบาทที่ฝ่ายชายควรได้เห็น คือ การที่พ่อของตนมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว เป็นผู้นำหรือฝ่ายหญิงจะได้เห็นคือ ความรับผิดชอบในการดูแลครอบครัว  เข้มแข็ง  เป็นกำลังใจให้แก่หัวหน้าครอบครัว  ได้เห็นความรักใคร่ ผูกพัน อดทน  ประนีประนอมกันระหว่างการใช้ชีวิตร่วมกัน ได้เห็นการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของครอบครัว ฯลฯ  การที่ทั้งชายหญิงได้เห็นบทบาทที่เหมาะที่พ่อแม่ของตนกระทำต่อหน้าที่ในครอบครัวทั้งคู่ย่อมจะยึดมาเป็นแบบอย่าง  ทั้งในการคัดเลือกคนที่เหมาะสมมาเป็นคู่ชีวิตและการที่ตนจะได้ทำบทบาทหน้าที่นั้นๆ เมื่อถึงเวลาที่ตนมีชีวิตสมรสด้วย
การสนับสนุนจากบุคคลนัยสำคัญ  การสนับสนุนจากบุคคลนัยสำคัญ  หมายถึง  การที่คู่สมรสได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากพ่อแม่แต่ละฝ่ายรวมไปถึงเครือญาติ  หรือแม้แต่เพื่อนฝูง คนใกล้ชิดอื่น ๆการที่บุคคลจะตัดสินใจเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ครอง  หากมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้าง  หรือส่วนใหญ่แสดงความไม่เห็นด้วย  บุคคลนั้นย่อมเกิดความไม่แน่ใจ ไม่อบอุ่นใจ หากตัดสินใจเลือกคนดังกล่าวเป็นคู่ครองแล้ว พบว่าจะมีปัญหาภายหลัง  อาจจะทำให้เกิดการโทษตนเองที่ไม่ฟังความคิดเห็นจากครอบครัว  หรือแม้แต่คู่สมรสที่สามารถคู่ครองคู่อยู่กันไปได้แต่กลับห่างเหิน หรือยังแสดงการไม่ยอมรับ ส่งผลให้คู่สมรสอาจเกิดความเครียด นำมาสู่ปัญหาการปรับตัวตามมาได้เช่นกัน 
การทำงานนอกบ้านของภรรยา  ในอดีตผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่นิยมหรือไม่มีความจำเป็นต้องทำงานนอกบ้าน  ภาระในการหารายได้เพื่อนำมาเลี้ยงครอบครัวเป็นหน้าที่ของสามี  ความคิดความเชื่อว่าผู้ชายเป็นผู้ทำงานนอกบ้านนี้มีมานาน  แม้ในปัจจุบันการที่ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้านนับเป็นเรื่องปกติ อันเนื่องมาจากผู้หญิงมีการพัฒนาศักยภาพของตนเองมากขึ้น จนเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไปแม้กระทั่งสามีก็ต้องยอมรับความจริงข้อนี้  แต่การที่ผู้หญิงต้องออกไปทำงานนอกบ้าน  มีผลกระทบมาถึงครอบครัวบางประการ  เพราะอย่างไรก็ตาม  ผู้หญิงก็ยังถูกคาดหวังว่าจะต้องทำหน้าที่ดูแลบ้านเลี้ยงดูลูก  ดูความเรียบร้อยในบ้านรวมไปถึงอาหารการกินด้วย  เช่น เมื่อผู้หญิงต้องออกไปทำงานนอกบ้านภาระในบ้านย่อมถูกกระทบกระเทือนไม่มากก็น้อย  เช่น  บ้านและลูกอาจถูกปล่อยปละละเลยไปบ้าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยเป็นสองเท่า  ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเครียด เกิดการกระทบกระทั่ง ขัดแย้งกับคู่สมรสได้
- โครงสร้างครอบครัว  ลักษณะโครงสร้างครอบครัว  หมายถึง  จำนวนที่อาศัยในครอบครัว  โดยเน้นเฉพาะที่เป็นผู้ใหญ่  ซึ่งส่วนใหญ่ควรจะเป็นบุคคลที่เป็นเครือญาติ  หรือญาติผู้ใหญ่  นักวิชาการด้านครอบครัวศึกษา  ได้เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย ของครอบครัวที่ขนาดต่างกันได้ว่าครอบครัวขนาดเล็กหรือครอบครัวเดี่ยวที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก มีข้อดี คือ สมาชิกในครอบครัวมีความใกล้ชิดกัน  สามีภรรยามีอิสระที่จะตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในครอบครัวเอง ฯลฯ แต่มีข้อเสีย คือ  มีความว้าเหว่ขาดความอบอุ่นเมื่อมีความขัดแย้งในครอบครัวหรือยามมีปัญหา  จะขาดญาติพี่น้องที่จะมาช่วยเหลือหรือไกล่เกลี่ย  ประนีประนอม ขณะที่ในครอบครัวที่มีญาติมาอาศัยอยู่ด้วยสามีภรรยา  จะขาดอิสระในการตัดสินใจ  หรือกระทั่งการแสดงออกซึ่งความรักใคร่ผูกพัน  แต่ในครอบครัวใหญ่  สามีภรรยาจะมีผู้ช่วยแบ่งเบาภาระบางอย่าง เช่น ดูแลบ้าน  เลี้ยงลูก  และเมื่อมีปัญหาความขัดแย้งกันอาจจะลดความรุนแรงได้ด้วยความเกรงใจผู้ใหญ่ในบ้าน
- อิทธิพลของสังคมรอบตัว  สังคมรอบตัวของคู่สมรส ได้แก่  ญาติ เพื่อน รวมไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ฯลฯ หากกลุ่มคนเหล่านี้ให้การยอมรับคู่สามีภรรยาเป็นอย่างดี  ยอมรับว่าเป็นคู่สมรสที่เหมาะสม  หรือยอมรับบุคคลทั้งคู่  ไม่รังเกียจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  ย่อมทำให้คู่สมรสมีความ   พึงพอใจในชีวิตสมรสได้  หรือการที่คู่สมรสได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมในชุมชนมาก (หมายถึง  การที่ทั้งคู่ได้รับการยอมรับจากชุมชน) จะทำให้คู่สมรสมีความพึงพอใจในชีวิตสมรสได้เช่นกัน
2)  ปัจจัยที่เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตที่เป็นกลุ่มปัจจัยที่สำคัญที่สุด  น่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส  เนื่องจากชีวิตสมรส คือ การใช้ชีวิตคู่ของคนสองคน  ปฏิสัมพันธ์ในแง่บวกระหว่างทั้งสองมีมากเท่าใด ความมั่นคงในชีวิตสมรสก็มีมากเท่านั้น  ในทางกลับกันหากคู่สมรสมีปฏิสัมพันธ์กันไม่ดี  การอยู่ร่วมกันย่อมไม่ราบรื่น แม้มีปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมหรือเอื้ออำนวยให้คู่สมรสได้อยู่ร่วมกันอย่างดีเพียงใดก็ตาม  สิ่งที่ตามมาอาจจะเป็นความจำยอมในการอยู่ด้วยกันหรือในที่สุดอาจจะถึงกับแยกทางกันเดินก็ได้
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของคู่สมรสสามารถดูได้จากการแสดงออกหรือผลของการปฏิสัมพันธ์ในหลาย ๆ แง่มุม เช่น การยอมรับกันและกันในทุกๆ ด้าน (สรีระร่างกาย จิตใจ เพศสัมพันธ์ ความเชื่อ ค่านิยม ฯลฯ)  ความสนิทเสน่หาที่มีต่อกัน  การสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ การมีบทบาทที่สอดคล้อง(ความสมานฉันท์ทางบทบาท)  และการมีความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนคู่ชีวิตซึ่งรายละเอียดของปฏิสัมพันธ์เหล่านั้น มีดังนี้
- การยอมรับกันและกัน  เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของการที่คู่สมรสจะอยู่ด้วยกันได้  เพราะการสมรสย่อมหมายถึงการต้องใช้ชีวิตร่วมกันตลอดชีวิต  ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน ต้องมีกิจกรรมร่วมกัน ต้องปรึกษาหารือกัน แก้ปัญหาร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การยอมรับกันในแง่มุมทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน โดยไม่มีความขัดแย้งทางความคิดและอารมณ์ ไม่รำคาญกัน ไม่เบื่อกัน ไม่ดูถูกกัน  ไม่เกลียดกัน ลักษณะการยอมรับกันและกัน มีตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น การมองอีกฝ่ายหนึ่งในแง่ดี พอใจในคู่ชีวิตทั้งรูปร่างหน้าตา สติปัญหา ความคิดเห็นและจิตใจ ซึ่งจะทำให้ทั้งคู่สื่อสารกันได้อย่างราบรื่น  แม้การตอบสนองทางเพศสัมพันธ์ที่คู่สมรสมอบให้  ยอมรับในตัวตนรวมไปถึงค่านิยมต่าง ๆของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นต้น
- ความสนิทเสน่หาต่อกัน  ความสนิทเสน่หาต่อกันเป็นปัจจัยด้านอารมณ์ที่จะทำให้คู่สมรสรู้สึกผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง  ซึ่งเป็นเรื่องของการแสดงออกซึ่งความรักใคร่  ความต้องการทางเพศและรสนิยมทางเพศที่สอดคล้องกัน มีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ร่วมกัน  รวมไปถึงการสนับสนุนส่งเสริมเป็นที่พึ่งทางใจ  มีความเสมอภาคกัน (ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบหรือกดขี่ทางเพศ)  ขณะเดียวกันก็ไม่ละเมิดสิทธิส่วนตัวของกันและกัน  ให้เกียรติกัน เคียงข้างกันออกสังคม  ให้สังคมยอมรับและชื่อชมในการเคียงคู่กันของทั้งสอง ฯลฯ
- การสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง  การที่คู่สมรสสื่อสารกันได้มีความเข้าใจกัน พูดคุยกันในเรื่องหลากหลาย  มีเวลาพูดคุยกัน และที่สำคัญคือ  เห็นความสำคัญของการพูดคุยกัน
-  การมีบทบาทที่สอดคล้องกัน  หรือความสมานฉันท์ทางบทบาท หมายถึง ความเห็นที่สอดคล้องกันระหว่างสามีภรรยาว่าใครควรจะมีบทบาทใด ซึ่งครอบคลุมการแสดงออกต่าง ๆ เช่น การสามารถตอบสนองความต้องการของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด การทำหน้าที่ตามควรแห่งบทบาทของตน (การเป็นสามี  ภรรยา เป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลรักษาบ้านทรัพย์สินฯลฯ) ได้อย่างดี  และทำบทบาทได้ใกล้เคียงกับบทบาทที่คาดหวังให้ได้มากที่สุด  แบ่งบทบาทกันทำอย่างยุติธรรม (ร่วมกันรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ  การทำงานบ้าน  การเลี้ยงลูก เป็นผู้เลี้ยงดูลูก อบรมสั่งสอน  แม้แต่การลงโทษลูก ฯลฯ) การมีบุคลิกภาพที่คล้ายคลึงกัน มีการปรองดองกันสูง ฯลฯ
- การมีความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนคู่ชีวิต  หมายถึง การที่คู่สมรสมีการพึ่งพาอาศัยกันและกันในแง่ของอารมณ์และความคิด  มีการทำกิจกรรมร่วมกัน  มีการไปไหนมาไหนด้วยกันและร่วมกันแก้ปัญหาของครอบครัว อาจรวมถึงมีการวัดความเป็นเพื่อนคู่ชีวิตครอบคลุมการวัดกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ เช่น การพูดคุยกัน  การเข้าใจในกันและกัน  การไปเยี่ยมเพื่อนฝูงด้วยกัน หรือไปพักผ่อนด้วยกัน เป็นต้น
ดังนั้นในแนวคิดทางการศึกษาคู่สมรสไทยจึงน่ารวมไปถึงการมีความสอดคล้องในแง่การนับถือศาสนา การปฏิบัติตนตามแนวทางศาสนาร่วมกัน เช่น ทำความดี  ละเว้นความชั่ว  ยึดหลักฆราวาสธรรม รวมไปจนถึงการทำบุญไปวัด ฯลฯ ด้วยกัน